"พิธา" บรรยายเรื่องการต่างประเทศ-การเมืองโชว์วิสัยทัศน์ "รัฐบาลก้าวไกล" พาไทยยืนบนเวทีโลกอย่างมีศักดิ์ศรี
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับเชิญให้บรรยายพิเศษ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “ก้าวย่างบนความท้าทาย และโอกาสของไทยต่ออาเซียนและมหาอำนาจ” โดยมีนิสิตเข้ารับฟังการบรรยายจำนวนมาก นายพิธาเปิดการสนทนากับนิสิตด้วยการย้ำว่า การต่างประเทศจะกลายเป็นนโยบายที่สำคัญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หากประชาชนตระหนักว่าปัญหาภัยแล้ง ฝุ่น PM2.5 ไปจนถึงราคาปุ๋ย อาหารสัตว์ พลังงาน ที่แพงขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลไทยจะแก้ได้หากไม่มีบทบาทในเวทีโลก นโยบายต่างประเทศก็จะกลายเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่พรรคการเมือง รัฐบาล ต้องคิด ต้องให้ความสำคัญการต่างประเทศของไทยในยุคนี้เผชิญความท้าทาย เพราะอยู่ในยุคที่สหรัฐฯ และจีนแข่งขันกันขยายอำนาจ โดยมีภูมิภาคอาเซียนเป็นสมรภูมิสำคัญ แต่บทบาทของไทยในอาเซียนกลับถดถอย และบทบาทอาเซียนในฐานะพลังต่อรองระดับภูมิภาคก็ถดถอยเช่นกัน
ในสภาพการณ์เช่นนี้ การต่างประเทศไทยในมุมมองของก้าวไกล ต้องตอบ 2 โจทย์ คือ “ป้องกันวิกฤต” และ “เก็บเกี่ยวโอกาส” จากโลกใบใหม่ ความผันผวนและการแข่งขันในเวทีโลกโดยช่วงถาม-ตอบ มีนิสิตถามคำถามโดนใจว่า แม้ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล เป็นการเมืองแบบไร้หลักการ ทำให้หลายคนสิ้นหวัง และคิดว่าสังคมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ไม่มีความยุติธรรมอีกต่อไป เราถูกสอนตั้งแต่เด็กว่าให้เป็นคนดี ยึดหลักการต่าง ๆ แต่พอโตมาในโนโลกความเป็นจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น แต่คุณพิธาบอกว่าการต่างประเทศจะดี ขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ต้องมาจากเสียงที่ประชาชนสนับสนุน คุณพิธาจะทำอย่างไรให้ประชาชนสนับสนุน สร้างศรัทธาให้กลับมา และให้คนเห็นถึงความสำคัญของการต่างประเทศและการเมือง
ดูโพสต์นี้บน Instagram
นายพิธาได้ตอบโดยอ้างอิงถึงหนังสือ Tyranny of the Minority พร้อมบอกว่า ในการต่อสู้นั้นอย่างแรกคือ ต้องห้ามสิ้นหวัง ถ้าสิ้นหวังเขาจะชนะเลย เพราะเรามีเวลา เวลาอยู่ข้างเรา แต่ทุกอย่างอยู่ข้างมัน ถ้าภารกิจยึดที่มั่นสุดท้าย คือการเลือกตั้ง แล้วคุณยังไม่ไปเลือกตั้ง ที่เหลือเขากินทั้งกระดานแต่ถ้าทุกการเลือกตั้ง ยิ่งเลือก ยิ่งได้มาก คะแนนสะสมก็จะสู้กันไปมา ที่เหลือคือต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง สื่อมวลชนที่เข้มแข็ง ต้องมีความเป็นนานาชาติที่มองอยู่ ไม่ใช่ทำอะไรโดยไม่สนใจอะไรเลย และสุดท้ายความร่วมมือกันภายใน เช่น คนที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานอิสระ ต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่ตามที่นายสั่ง มันก็จะสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 1997-1998 ก็ต้องใช้การต่อสู้จากประชาชน และความร่วมมือจากภายในหลายฝ่าย จนกลายเป็นเกาหลีใต้แบบทุกวันนี้และย้ำว่า ตัวอย่างมีให้ดูอยู่ ไม่ใช่ว่าต้องสิ้นหวังซะทีเดียว
ดูโพสต์นี้บน Instagram