🔥[ คัดมาแล้วเน้นๆ! ก้าวไกลอภิปรายศาลรัฐธรรมนูญ - ป.ป.ช. ] 🔥

📌การประชุมสภาผู้แทนฯ เมื่อ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา มีวาระรับทราบรายงานประจำปีของ 2 หน่วยงานสำคัญ คือศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
📌สส. พรรคก้าวไกลได้ลุกขึ้นอภิปราย ตั้งประเด็นที่น่าสนใจหลายต่อหลายคน คำถามใหญ่มุ่งไปที่ประสิทธิภาพการทำงานและความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ
.
[ ศาลรัฐธรรมนูญ กับหลักสูตร ‘สร้างความรู้คู่คอนเน็กชั่น’ ] 🧐
.
ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตต่อหลักสูตร ‘หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย’ (นธป.) ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จนถึงปัจจุบันมี 11 รุ่น โดยระบุว่าในหลักสูตร นธป. รุ่นที่ 10 ซึ่งมีคนดังๆ ร่วมเรียนจำนวนมาก แต่มีรายละเอียดปรากฏในรายงานประจำปีของศาลฯ เพียงหน้าเดียว

เมื่อสืบค้นต่อในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้อง ก็ได้พบการดูงานที่น่าสนใจ เช่น ที่ฮังการี ระหว่างวันที่ 1 - 8 ก.ค. 2565 กำหนดการดูงานในหลายวันหลายช่วงเวลาขาดหายไป โดยเฉพาะช่วงบ่ายตั้งแต่อาหารเที่ยงถึงอาหารเย็น จนตั้งข้อสังเกตได้ว่านี่คือการเอางบหลวงนำผู้เข้าอบรมไปเที่ยวกันหรือไม่

เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ อย่างรุ่น 11 ไปที่เบลเยียมและลักเซมเบิร์ก มีข้อสังเกตตั้งแต่การขึ้นเครื่องบิน คือขึ้นเครื่องเคาน์เตอร์สำหรับชั้นหนึ่ง (First Class) และชั้นธุรกิจ (Business Class) ทั้งที่งบประมาณการดูงาน เฉลี่ยตกหัวละ 6 หมื่นบาท และเมื่อลงไปในรายละเอียดกำหนดการ ก็พบเช่นกันว่ามีการไปดูงานเพียงนิดเดียว โดยกำหนดการช่วงบ่ายหายไป

จนต้องตั้งคำถามว่า ที่ไปกันนี้เป็นงบหลวงทั้งหมดหรือมีงบอะไรอีก มีการใช้งบรับรองหรือไม่ ทริปหน้าที่จะไปเกาหลี จะบินในวันอาทิตย์นี้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องถูกถามอีกว่าเอางบหลวงมาสร้างคอนเน็กชั่นหรือไม่

[ ศาลรัฐธรรมนูญ มีไว้ทำไม? ] 🤔

ด้าน รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญควรจะเป็นองค์กรที่พิทักษ์รักษาหลักการประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทว่าที่ผ่านมาได้แสดงผลงานด้วยการยุบพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ถอดถอนนักการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย จนสังคมถามว่าเป็นการใช้อำนาจสนองต่อวาระของผู้มีอำนาจที่อยู่ขั้วตรงข้ามหรือไม่

หากนับเฉพาะปีงบประมาณ 2565 รังสิมันต์กล่าวว่ามี 2 คำวินิจฉัยที่มีปัญหา คือคำวินิจฉัยที่ 6/2565 ที่วินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ให้อำนาจรัฐบาลออกข้อกำหนดห้ามการชุมนุมหรือการกระทำใดๆ ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กำลังใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ปราบปรามผู้ชุมนุมที่ชุมนุมอย่างสันติ โดยไม่มีใครตรวจสอบทัดทานได้ และยังมีการเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างผู้เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีส่วนในการรับรองการกระทำนี้ด้วย
.
ต่อมาคือคำวินิจฉัยที่ 19/2564 ที่ทำให้การชุมนุมของประชาชนที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นการล้มล้างการปกครอง โดยศาลรัฐธรรมนูญได้สถาปนาตัวเองเป็นผู้ผูกขาดทั้งประวัติศาสตร์และหลักการปกครอง ที่ควรต้องถูกถกเถียงและทบทวนได้ แล้วยังเอาสิ่งที่ตนผูกขาดมากดทับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้ประเด็นทางการเมืองที่ประชาชนควรเข้าถึงและเรียกร้องให้ปรับปรุงได้ กลายเป็นแดนต้องห้ามที่ซุกซ่อนปัญหาสำคัญเอาไว้ใต้พรม และซ่องสุมเหลือบไรที่จ้องสูบกินผลประโยชน์จากการดำรงอยู่ของปัญหาเหล่านี้

รังสิมันต์ยังอภิปรายต่อไปถึงการใช้งบประมาณหลักล้านบาทไปกับโครงการต่างๆ ที่ไม่แน่ใจว่าทำอะไรบ้าง รวมถึงโครงการสัมมนาพัฒนาบุคลากรศาลรัฐธรรมนูญตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ ซึ่งในรายงานระบุว่าเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรศาลฯ มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติราชการอย่างมีประสิทธิภาพ น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับการดำรงชีวิตและสร้างความเป็นธรรม ทว่าเนื้อหาของกิจกรรม คือการปลูกป่า ปล่อยพันธุ์ปลา ดูงานทำเกษตร!

“สังคมไทยไม่ได้คาดหวังอะไรไปมากกว่าการมีศาลดีๆ สักศาลหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เคารพการตัดสินใจของประชาชน ไม่ใช่การลุแก่อำนาจเพื่อทำลายตัวแทนของประชาชน ไม่เช่นนั้นประชาชนจะว่าได้ ว่าเราจะมีศาลรัฐธรรมนูญไปทำไม” รังสิมันต์ทิ้งท้าย

[ ‘ความโปร่งใส’ แบบถมดำและกระดาษเปล่า ]😏

ต่อมาเป็นวาระรับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดย ปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพฯ (พระโขนง-บางนา) ลุกขึ้นสอบถามถึงมาตรการปกปิดข้อมูลการสอบสวนของ ป.ป.ช. ทั้งที่ค่านิยมของ ป.ป.ช. ระบุชัด ‘ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้’ แต่หลายครั้ง ป.ป.ช. กลับปัดตกหรือไม่รับพิจารณาในการดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้อง

กรณีหนึ่งที่มีประเด็น เป็นข้อขัดแย้งระหว่างหน่วยงานอิสระอย่าง ป.ป.ช. กับศาลปกครองสูงสุด คือเรื่องที่วีระ สมความคิด ได้ร้องไปยัง ป.ป.ช. ขอให้เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนกรณีนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวถูกปัดตกในชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยวีระสามารถขอเอกสารเหตุผลหรือข้อเท็จจริงที่ ป.ป.ช. ปัดตก เขาต่อสู้เพื่อทำตามขั้นตอนดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2565 จนกระทั่ง 16 มี.ค. 2566 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ อ.224/2566 ให้ ป.ป.ช. เปิดเผยเอกสารการไต่สวนที่ผู้ร้องขอไปกับ ป.ป.ช. ทั้ง 3 ฉบับ

ต่อมาผู้ร้องยื่นคำสั่งศาลฯ ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ได้เอกสารกลับมา 2 ชุด และไม่ให้อีก 1 ชุด แต่เอกสาร 2 ชุดที่ได้มา ส่วนใหญ่เป็นกระดาษเปล่าและประทับตราว่า ‘ลับ’ และอีกฉบับหนึ่ง ถมดำในสาระสำคัญจนอ่านไม่ได้ ส่วนเอกสารที่ไม่ยอมเปิดเผย คือเอกสารภายในของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับความเห็นของคณะกรรมการไต่สวน โดย ป.ป.ช. ให้เหตุผลผ่านสื่อมวลชนว่า เพื่อปกปิดคุ้มครองพยานหรือเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามระเบียบของ ป.ป.ช.

จึงสงสัยว่าระเบียบข้อบังคับของ ป.ป.ช. สามารถขัดต่อคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดได้หรือไม่ และข้อกล่าวอ้างที่ไม่ยอมเปิดเผยเอกสาร โดยแถลงว่ากังวลถึงผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ที่ทำความเห็นนั้น ขอถามว่า ป.ป.ช. กลัวอะไร ในเมื่อหน้าที่ของ ป.ป.ช. คือผู้ดำรงไว้ซึ่งการแสวงหาข้อเท็จจริง

👍[ รัฐธรรมนูญใหม่ต้องปฏิรูปองค์กรอิสระ ] 👍

จากนั้น พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายถึงข้อกังวลต่อ ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานที่ต้องการปราบปรามการทุจริต โดยเรียกร้องว่า ป.ป.ช. จำเป็นต้องติดกระดุมเม็ดแรกด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะการทำงานของ ป.ป.ช. ปัจจุบัน ยังมีหลายส่วนที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเรื่องความโปร่งใสและหลักธรรมาภิบาล ที่ ป.ป.ช. เองคงคาดหวังจะเห็นจากหน่วยงานอื่น
.
ข้อกังวลที่หนึ่ง ป.ป.ช. คงคาดหวังให้หน่วยงานอื่นเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส แต่ ป.ป.ช. กลับไม่เปิดเผยข้อมูลที่ตัวเองรับผิดชอบตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น เช่น ข้อมูลบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มีการเปิดเผยข้อมูลบนเว็บไซต์ แต่ไม่ได้เปิดเผยในรูปแบบที่สามารถวิเคราะห์ต่อได้ตามมาตรฐานสากล เป็นเพียงการสแกนภาพ แทนที่จะเป็นไฟล์ดิจิทัล แถมยังห้ามดาวน์โหลดไฟล์
.
พริษฐ์ชี้ว่า การที่ ป.ป.ช. ไม่เข้าใจว่ารูปแบบของข้อมูลที่เปิดเผยมีความสำคัญอย่างไร มีส่วนสำคัญที่ทำให้เครื่องมือการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ที่ ป.ป.ช. ออกแบบมาเพื่อใช้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานอื่นๆ นั้น มีปัญหาตามมา

เพราะจะเห็นว่าเกณฑ์ด้านการเปิดเผยข้อมูลใน ITA กลายเป็นเพียงการเช็คว่าหน่วยงานนั้นๆ เผยแพร่ชุดข้อมูลอะไรบ้าง โดยไม่สนใจเลยว่าข้อมูลที่เผยแพร่อยู่ในรูปแบบใด จึงไม่แปลกใจที่ผลการประเมิน ITA กำลังบอกเราว่าสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งสวนทางกับผลลัพธ์จากการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ขององค์กรสากลและความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ที่สัมผัสได้ว่าปัญหาการทุจริตในประเทศไทยไม่ได้ดีขึ้น

ข้อกังวลที่สอง ป.ป.ช. คงคาดหวังให้หน่วยงานอื่นใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหมาะสม แต่ ป.ป.ช. กลับยังมีการใช้งบประมาณบางส่วนที่น่าสงสัย เช่น เมื่อดูรายงานการเงิน จะพบว่าค่าฝึกอบรมและค่าเดินทางเพิ่มขึ้นกว่า 50% จากปีที่แล้ว โดยกิจกรรมหนึ่งที่ ป.ป.ช. ดำเนินการทุกปี คือหลักสูตร ‘นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง’ หรือ นยปส.

ขอตั้งคำถามว่า (1) เหมาะสมแล้วหรือไม่ในเชิงหลักการที่ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรอิสระ เลือกจัดหลักสูตรที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มให้ผู้นำและผู้มีอิทธิพลเกือบ 100 คนจากภาครัฐ เอกชน และพรรคการเมือง ไปสร้างคอนเน็กชั่นขยายเครือข่ายส่วนตัว และ (2) การที่หลักสูตรนี้พาผู้เรียนไปทัวร์ต่างประเทศด้วยงบประมาณหลักล้านบาทจากภาษีประชาชนเป็นการใช้งบที่เหมาะสมและคุ้มค่าต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริตหรือไม่

ข้อกังวลที่สาม ป.ป.ช. คงคาดหวังให้หน่วยงานอื่นไม่วางโครงสร้างองค์กรที่นำไปสู่ปัญหาของผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ ป.ป.ช. กลับกำลังเผชิญปัญหาดังกล่าวเสียเอง เช่น เมื่อ ส.ค. 2565 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติไม่เห็นชอบให้ ศ.อารยะ ปรีชาเมตตา ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ที่ว่างอยู่ สื่อรายงานว่าเป็นเพราะ ศ.อารยะ มีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกับฝ่ายอนุรักษนิยม

แม้ในรายงาน ป.ป.ช. เขียนว่าอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงาน แต่ตราบใดที่กระบวนการสรรหาและรับรองกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่ถูกผูกขาดไว้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง ไม่ว่าท่านจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีแค่ไหน ประชาชนก็มีสิทธิตั้งคำถามถึงความเป็นกลางได้อยู่ดี
.
จึงหวังว่าในวันที่กำลังจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ป.ป.ช. จะมาร่วมยืนยันว่าประเทศเราต้องมีการปฏิรูปองค์กรอิสระ ให้มีที่มาที่ยึดโยงกับประชาชนและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อให้ ป.ป.ช. มีอิสระเต็มที่ในการตรวจสอบรัฐบาลทุกฝ่ายและผู้มีอำนาจทุกคน ตามที่ประชาชนคาดหวัง

🍊[ ฝากการบ้าน ป.ป.ช. พัฒนาระบบติดตามเรื่องร้องเรียน ] 🍊

ถัดมา ธนเดช เพ็งสุข สส.กรุงเทพฯ (ลาดพร้าว บึงกุ่ม) กล่าวว่าจากการสอบถามประชาชนที่เคยร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. พบปัญหามีการดำเนินงานที่ล่าช้าและไม่สามารถติดตามได้ง่ายดาย เช่น เรื่องที่ตนเคยยื่นไว้เมื่อ ก.พ. ที่ผ่านมา กรณีข้าราชการใช้เครื่องบิน F16 ในภารกิจลอยอังคารบิดาของตัวเอง หรือกรณีอดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต จัดสร้างพระผงศาสดา ทราบว่าขณะนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. แต่การดำเนินการล่าช้าจนเป็นข้อกังวลให้กับเพื่อนทหารและพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการดังกล่าว

จึงขอให้ ป.ป.ช. พัฒนาระบบการติดตามที่สามารถใช้ได้โดยง่าย เพราะทุกข์ของประชาชนนั้น แค่ได้รู้ว่าเรื่องของเขาดำเนินการไปถึงไหนแล้วก็อุ่นใจ ดีกว่าร้องเรียนไปแล้วเรื่องเงียบจนกังวลว่ามีใครวิ่งคดีหรือไม่ อย่าให้ข้อครหาเหล่านี้ต้องเป็นข้อกังวลใจของประชาชนหรือผู้เดือดร้อนที่ไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เลย

#ก้าวไกล #ศาลรัฐธรรมนูญ #ปปช