วิญญาณหลอน !
วิญญาณหลอน
'ภาวนา' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากญาติสนิท
คุณป้าผกาเลี้ยงดูดิฉันมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อท่านป่วยไข้ต้องไปอยู่โรงพยาบาล ดิฉันที่เพิ่งเรียนจบมาหยกๆ ก็อาสาไปเฝ้าไข้อยู่กับท่านทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งคุณป้าสิ้นลม
ดิฉันไม่เคยกลัวผีมาก่อน แต่ตอนนี้กลับกลัวผีหลอกวิญญาณหลอนจับใจเลยค่ะ!
ความกลัวดังกล่าว อาจเป็นเพราะได้เห็นความตายอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรกในชีวิต...ตอนนั้นอายุเพิ่ง 22 ปีเท่านั้นนะคะ พ่อแม่ยังอยู่ครบ รวมพี่ชายและพี่สาวอีกอย่างละหนึ่งคน
บ้านดิฉันไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็อบอุ่น ผิดกับบ้านคุณป้าที่กว้างขวางเหลือเกิน แถมดูวังเวงตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่แล้วเพราะคุณป้าอยู่คนเดียวไงคะ ท่านเคยมีสามีและลูกสาวรุ่นน้องดิฉัน แต่เมื่อหลายปีก่อนครอบครัวท่านประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ต่างจังหวัด เหลือคุณป้ารอดชีวิตอยู่คนเดียว
ท่านรักดิฉันมาก เพราะตอนดิฉันเกิดน่ะคุณป้ายังไม่ได้แต่งงาน ก็เลยดูแลหลานคนนี้มาตลอด กระทั่งแต่งงานมีลูกแล้ว ดิฉันก็ยังคลอเคลียไม่ห่างคุณป้าผกา เราผูกพันกันมาก ขนาดดิฉันไปกินอยู่ที่บ้านคุณป้าเหมือนเป็นลูกสาวคนโต
ยิ่งเมื่อสามีและลูกตาย ดิฉันก็อยู่บ้านนั้นกับท่านสองคน!
คุณป้าเป็นมะเร็งที่ทรวงอกแล้วลามไปยังส่วนอื่นๆ ตอนแรกดิฉันอยู่กับท่านที่บ้าน คุณป้าทรุดโทรมลงทุกวันๆ จากหญิงวัยกลางคนที่คล่องแคล่ว อารมณ์ดี กลายเป็นหญิงชราที่อ่อนระโหยโรยแรง
ที่จริงท่านยังไม่แก่หรอกค่ะ แต่โรคภัยมันเบียดเบียนจนผมของท่านร่วงและขาวโพลน ใบหน้าซีดเซียวเหมือนปูนแห้งๆ ลูกตาดำกลายเป็นสีเทาๆ น่าสลดใจจริงๆ
ระยะสุดท้าย คุณป้าไปนอนโรงพยาบาล ดิฉันไปนอนเฝ้า ส่วนที่บ้านท่านมีคนสวนกับคนขับรถเก่าแก่อาศัยอยู่ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
ดิฉันเฝ้ามองดูคุณป้าค่อยๆ ทรุดลงๆ เหมือนเปลวเทียนที่ใกล้ดับ ในที่สุดท่านก็พูดไม่ได้ กินไม่ได้ ไม่สามารถหายใจได้เอง มีแต่สายตาเท่านั้นที่มองดิฉันอย่างเศร้าสร้อย...นัยน์ตาที่มองสบกันทีไรทำให้ดิฉันสะท้อนถอนใจ จนกระทั่งแสบร้อนเบ้าตาทั้งสองข้าง...
ภาพของคุณป้าพร่าเลือนไปชั่วขณะ ดิฉันฝืนยิ้ม แม้ว่าจะกลั้นก้อนสะอื้นจนตัวโยน
สุดท้ายจริงๆ ท่านจำอะไรไม่ได้เลย!
คืนต่อมาคุณป้าหายใจลำบากมาก ก็อาการคล้ายหอบ...แล้วก็จากไป! ดิฉันอยู่ข้างๆ ทุกนาทีจนท่านหมดลม เส้นกราฟหัวใจกลายเป็นเส้นตรง และคุณหมอถอดเครื่องช่วยหายใจออก...
คืนนั้น พ่อกับแม่มาช่วยจัดการกับร่างไร้วิญญาณของท่าน คุณป้าผกาถูกนำเข้าห้องดับจิตกลางดึก บรรยากาศรอบด้านวังเวงน่าขนหัวลุก ลมพัดอู้ เสียงลมสะบัดยอดไม้ดังซู่ซ่า ดิฉันสะท้านเยือกทั้งๆ ที่อากาศร้อนอ้าว รอบๆ ตัวเหมือนมีภูตผีมารายล้อม...
ยามค่ำคืนของดิฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
ดิฉันกลับบ้านกับพ่อแม่ ไม่กล้ากลับไปที่บ้านคุณป้าผกา...ตลอดงานศพดิฉันกลัวมาก แต่อุบเงียบไม่ยอมบอกใครว่ากลัว เดี๋ยวพวกเขาจะหัวเราะเยาะ หรือดุว่าเหลวไหล ไม่รักคุณป้า ทั้งๆ ที่ดิฉันรักท่านมาก แต่เรื่องกลัวผีนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ
คิดอีกที ดิฉันอาจจะแค่กลัวบรรยากาศของความตายเท่านั้นก็ได้ เพราะคืนแรก ตอนที่แต่งชุดดำออกจากบ้านไปวัดนั้น ดิฉันได้กลิ่นดอกไม้...ไม่ใช่ดอกไม้สดหรอกค่ะ แต่เป็นกลิ่นพวงหรีด มันหอมเย็นๆ แปลกๆ นี่คือกลิ่นซึ่งอบอวลอยู่ในศาลาที่ตั้งศพ!
เมื่อกลับบ้านก็ได้กลิ่นธูปเต็มห้องนอน ที่ดิฉันนอนกับพี่แอ๋ว-พี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง
ขนาดได้กลิ่นซึ่งทำให้เชื่อแน่ว่าวิญญาณคุณป้าตามมา ดิฉันยังอาบน้ำคนเดียวได้สบาย กลัวอย่างเดียวว่า...เวลาหลับตาพอกหน้า แล้วลืมตาขึ้นมาจ๊ะเอ๋กับคุณป้าผกาน่ะ ซีคะ!
คืนที่สี่ ดิฉันถามลุงชา-คนขับรถคุณป้าว่าเรียบร้อยดี เหรอ แกบอกว่าคุณป้าไปที่บ้าน
คุณป้าปรากฏตัวที่ชั้นบน คือหน้าต่างห้องที่ดิฉันนอนกับท่านน่ะค่ะ...ลุงชาเห็นท่านยืนตรงหน้าต่างทั้งที่ไฟดับ เห็นชัดทีเดียว! เหมือนท่านเป็นห่วงหรือไม่ก็คิดถึงดิฉัน...ลุงชาถามว่าไม่กลับไปที่บ้านโน้นอีกหรือ? ดิฉันรีบสั่นหน้า...ไม่ละค่ะ ไม่กลับแน่นอน! อึ๋ยยยย...
ได้ข่าวว่าคุณพ่อกับคุณลุงคิดจะขายบ้านนั้น เพราะเก็บไว้ก็ไม่มีใครอยู่...คุณป้าผกาอาจจะอาลัยอาวรณ์บ้านของท่านก็เป็นได้! ดิฉันจุดธูปหนึ่งดอก ตั้งใจอธิษฐานถึงท่านให้ไปสู่สุคติไปอยู่ในภพภูมิที่มีแต่ความสุขสงบ
กลิ่นพวงหรีด กลิ่นธูปเทียน ยังตามดิฉันมาตลอดเจ็ดวันหลังจากที่ท่านเสียชีวิต บางวันก็เป็นกลิ่นยา กลิ่นเลือด และกลิ่นโรงพยาบาล
คุณป้ามาจริงๆ หรือดิฉันคิดไปเอง? คงไม่ผิดใช่ไหมที่ดิฉันกลัวผี ทั้งๆ ที่รักท่านมาก นอกจากจะขอส่งใจให้ท่านไปสู่สุคติภพแล้ว ดิฉันยังหวังว่าขอให้ตัวเองหายกลัวผีเร็วๆ นี้อีกด้วยค่ะ!