ปีศาจที่แสนแสบ !
ปีศาจที่แสนแสบ
"สีตา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองแสนแสบ
ดิฉันเป็นคนมีนบุรีโดยกำเนิด โดยแม่ต้องเลี้ยงลูกๆ ถึง 3 คนเพราะพ่อเสียไปแล้ว ดิฉันเป็นคนโตจึงต้องทำงานช่วยแม่ โรงเรียนเลิกต้องรีบกลับมาทำงานบ้านทุกวัน
บ้านเราอยู่ติดคลองแสนแสบ มีคูเล็กๆ ข้างบ้านด้วย แม่ทั้งปลูกผักไว้ที่แปลงข้างคลอง ส่วนในคูก็ปักเสาเลี้ยงผักบุ้งกับผักกระเฉดเอาไว้งามสะพรั่ง ทั้งได้กินและ ได้ขายค่ะ แต่นับวันก็ดินรนมากขึ้น โดยแม่ไปรับของจากตลาดใส่เรือพายขาย เช่น ปลาทูนึ่ง ปลาเค็ม กะปิ น้ำปลา น้ำตาลและผักดองต่างๆ พอจะมีกำไรเลี้ยงลูก ไม่ให้อดอยาก
แม้เราจะยากจนแต่แม่ก็สอนให้ลูกๆ เป็นคนดี ขยัน อดทน มีความกตัญญูรู้คุณคน ข้อสำคัญคือห้ามคดโกงเขาเป็นอันขาด เพราะเป็นบาปหนักมาก..ชาติหน้าต้องชดใช้กรรมมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี
แม้จะเนิ่นนานมาแล้ว แต่ดิฉันจดจำคำสอนของแม่ขึ้นใจมากจนถึงทุกวันนี้!
เมื่ออายุได้ราว 12 ขวบก็ต้องออกช่วยแม่ลงเรือขายของแล้ว ตื่นตั้งแต่ตี 5 รีบเอาของลงเรือไปขายตามคลองแสนแสบ ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็ลงเรือไปขายของคนเดียว กลับมาเหนื่อยก็นอนพักได้
สมัยนั้น คลองแสนแสบยังเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ น้ำในคลองใสสะอาด ปราศจากมลพิษเจือปน ท้องทุ่งนาสองฝั่งคลองยังเขียวขจีน่ารื่นรมย์ ผิดกับทุกวันนี้มากค่ะ
บางครั้งพายเรือไปคนเดียวก็ทำให้นึกถึง "แผลเก่า" นิยายอมตะของท่าน "ไม้เมืองเดิม" มีขวัญกับเรียมเป็นพระเอกนางเอก ที่อยู่ทุ่งบางกะปิคลองแสนแสบนี้เอง
ดิฉันยอมรับล่ะค่ะว่าเคยฝันที่จะเป็นเรียม นางเอกของเรื่องตามประสาเด็กๆ ที่คิดว่าส่วนมากมักมีความฝันเป็นของตัวเองทั้งนั้น ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง กระทั่งอ่านพบในหนังสือเมื่อโตขึ้นว่า "ความฝันย่อมเป็นความจริงเสมอ ตราบใดที่เรายังอยู่ในฝันนั้น!"
เพราะการพายเรือขายของนี่เอง ทำให้ได้พบกับเรื่องน่าขนลุกที่สุดในชีวิต!
วันศุกร์นั้น ดิฉันลงเรือไปขายของคนเดียว เพราะแม่ต้องหุงข้าวทำกับข้าว และรีบลงคูไปเก็บผักบุ้งผักกระเฉดที่ทอดยอดอยู่ในน้ำ แม่ค้าที่ตลาดสั่งมาหลายเจ้าแล้ว แม่บอกว่าจะทำแกงส้มผักบุ้งกับผัดผักกะเฉดให้ก่อนไปโรงเรียนอีกด้วย
คลองแสนแสบสมัยก่อนค่อนข้างเปลี่ยว บ้านคนอยู่ห่างๆ กัน ส่วนมากเป็นทุ่งนา ริมคลองมีต้นไม้ร่มครึ้มกับพงหญ้าเปล่าเปลี่ยว แม้จะรู้ว่าบางแห่งเป็นป่าช้าร้าง แต่ดิฉันคุ้นเคยจึงไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
ขายของได้สักพักก็คิดว่าหกโมงเช้าได้แล้ว แต่ฟ้ายังมืดอยู่ พอพายเรือห่างบ้านคนก็มีเสียงลมพัดวู่หวิว คลื่นเซาะฝั่งเหมือนเสียงใครกระซิบกระซาบกัน รอบๆ ตัวดูเวิ้งว้างเยือกเย็น ทำให้รู้สึกวังเวงใจยังไงบอกไม่ถูก..
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องเรียกชื่อดิฉันมาจากริมฝั่งด้านซ้าย เล่นเอาเกือบสะดุ้งแน่ะ!
"สีตาๆ" เสียงแหบๆ ทำให้ดิฉันจ้องมองก็เห็นหญิงชราคนหนึ่ง เคยซื้อของ 2-3 ครั้ง ชื่อยายแฟง..แกยืนอยู่ข้างกอพงสูงเกือบท่วมหัว ขณะนั้นเริ่มสว่างรำไรแล้ว ยายแฟงเคี้ยวหมากจับๆ ดิฉันถามว่ายายจะเอาอะไรจ๊ะ?
"อยากได้ปลาทูสักเข่งน่ะ เท่าไหร่อีหนู?"
"ห้าสิบสตางค์จ้ะ"
ดิฉันบอกแล้วก็หยิบปลาทูห่อใบตองส่งให้แก ยายแฟงบอกเสียงแหบแห้งแบบคนแก่ว่าให้รอสักครู่ แกจะขึ้นไปเอาเงินมาให้..แล้วก็เดินถือห่อปลาทูไปที่กระท่อม แต่ดิฉันรออยู่เป็นนานสองนานจนอดรนทนไม่ไหว เพราะต้องไปขายของอีกหลายแห่ง เสร็จแล้วก็ต้องกลับบ้านเพื่อรีบไปโรงเรียน
ในที่สุดจึงตะโกนบอกไปว่าคอยไม่ไหวแล้วจ๊ะ พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บเงินก็ได้!
เมื่อหันไปมองด้านหลังก็เห็นแสงเงินแสงทองฉาบขอบฟ้าแล้ว ดิฉันรีบพายเรือไปขายของจนหมด..พอกลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องยายแฟงให้แม่ฟัง
"อะไรนะ!" แม่ร้องลั่น "ยายแฟงแกตายไปตั้ง 3 วันแล้ว ลูกมัวแต่ไปโรงเรียนเลยไม่รู้เรื่อง..วิญญาณแกแรงจริงๆ"
ดิฉันตกใจกลัวขนลูกซู่ แม่รีบปลอบใจ..ยายแฟงคงอยากกินปลาทู รีบกรวดน้ำอุทิศของที่แก่เอาไปซะ แกจะได้ไปผุดไปเกิด ไม่มาปรากฏให้เห็นอีก! แล้วแม่ก็สอนคำกรวดน้ำให้ว่าตามจนจบ รู้สึกสบายใจขึ้นมากก่อนจะไปโรงเรียน
วันรุ่งขึ้น เมื่อต้องพายเรือผ่านบ้านยายแฟงก็อดหวาดไม่ได้ รีบจ้ำให้พ้นไปไวๆ ไม่กล้าหันไปมองกลัวว่าจะจ๊ะเอ๋กับแก..แต่ก็ไม่เคยเจอะเจออีกเลยค่ะ!