ดินเนอร์สยองขวัญ !
ดินเนอร์สยองขวัญ
'โรส' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องอาหารในโรงแรมสี่ดาว
ดิฉันกับครอบครัวโดนผีหลอกที่โรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ!
เมื่อถึงคราวปิดเทอมใหญ่ตอนต้นเดือนมีนาคม พวกเด็กๆ ล้วนแต่ชอบอกชอบใจและดูจะมีความสุขมากๆ ที่โรงเรียนหยุดยาวเกือบสามเดือน แถมยังรบเร้าให้พ่อแม่พาไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่บางแสน พัทยา หรือหัวหินอีกต่างหาก
ฤดูหนาวคนนิยมไปเที่ยวป่าเขา น้ำตก แต่พอถึงฤดูร้อนมักชอบไปเที่ยวทะเล
ไม่ว่าจะเล่นน้ำหรือเดินชมวิวชายหาด แม้แต่นั่งเก้าอี้ผ้าใบกินของอร่อยๆ ที่มีแม่ค้ามาเร่ขาย กับดูหนุ่มสาวในชุดอาบน้ำหลากสีสันเดินคลอคู่กันผ่านไปมา ก็ถือว่าเป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง
แต่ข้อเสียก็คือ ผู้คนที่มุ่งหน้าไปเที่ยวเตร่ตามชายทะเลมีมากเหลือเกิน!
เราต้องแย่งกันเดินทาง แย่งกันอยู่ แย่งกันกินและแย่งกันเที่ยว บางคนอาจจะชอบ แต่บางคนก็บอกว่า แค่นึกถึงก็อ่อนใจเสียแล้วค่ะ!
ลูกชายอายุห้าขวบกับเจ็ดขวบของดิฉัน รบเร้าให้พ่อแม่พาไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตอนปิดเทอม...เราเองก็มีเวลาหยุดงานเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น เลยตัดสินใจไปเปิดห้องพักที่โรงแรมในย่านสีลมนี่เอง
คนกรุงเทพฯ ไปตากอากาศที่กรุงเทพฯ ไงคะ!
บางท่านอาจสงสัยว่าสติดีหรือเปล่า? ถ้าไม่ไปเที่ยวทะเลก็น่าจะอยู่บ้านดีกว่าไปเช่าโรงแรมนอนให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ...แต่ถ้าพูดถึงการเปลี่ยนบรรยากาศจากความซ้ำซากจำเจของการอยู่บ้านไปอยู่โรงแรมชั้นหนึ่ง เชื่อว่าคงเข้าใจกันค่ะ
หลายๆ ท่านอาจจะไม่ทราบว่าในตอนปิดเทอมใหญ่แบบนี้ มีครอบครัวในเมืองหลวงอีกมากมายเหลือเชื่อคิดแบบเรา...ไปเปิดโรงแรมนอนพักกัน 2-3 คืนเลยค่ะ ขนาด 5-6 คืนก็ยังมี
สรุปว่าเราไปนอนโรงแรมสี่ดาว ตามคำชักชวนของเซลส์ที่ติดต่อทางโทรศัพท์มาหลายครั้งแล้ว...คือกำหนดเช็กอินเย็นวันศุกร์ เช็กเอาต์บ่ายสองโมงวันอาทิตย์
แต่คืนแรกเราก็เจอดีเข้าเต็มเปา!
โรงแรมนี้มีห้องพักดีมากๆ ห้องอาหารหรูหราได้การ รวมทั้งการตกแต่งก็สวยงามดี บรรยากาศสดใสอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางเสียงเพลงหวานๆ ขับกล่อม อาหารนานาชนิดมากมาย เพียงมองดูเผินๆ ก็รู้ว่าเป็นของดีสมราคา พนักงานสุภาพน่ารักทั้งหญิงและชาย
แขกทั้งไทยและเทศทยอยเข้ามา ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น อาหรับ...
เราได้โต๊ะด้านในใกล้ๆ กับสามีภรรยาชาวตะวันตกคู่หนึ่ง ถัดไปก็เป็นหนุ่มสาวผมทอง ญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ที่พูดพลางหัวเราะพลาง ฟังแล้วน่าสนุกดีแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม
สามีสั่งไวน์ขาวชาร์ดอเนย์ของเจค็อบกรีก ระหว่างที่พนักงานแช่ไวน์ในถังน้ำแข็ง เราก็ออกไปตักอาหาร ดิฉันพาลูกๆ ไปดูอาหารฝรั่งและญี่ปุ่น...มากมายจนลานตา ส่วนสามีไปที่โต๊ะออร์เดิร์ฟ ได้เนยแข็งชิ้นโตมาสองชิ้นกับแคร็กเกอร์ 2-3 แผ่น
เมื่อกลับมาที่โต๊ะก็พบว่าคุณลุงคุณป้าโต๊ะใกล้ๆ กำลังมองดูลูกชายของเราด้วยสายตาชื่นชม พยักพเยิดจนเด็กๆ ยิ้มอายเหนียม ดิฉันก็ยิ้มให้ที่เขาเอ็นดูลูกเราเหมือนเป็นลูกหลาน
พนักงานเสิร์ฟหนุ่มน้อยเข้ามารินไวน์ให้สองแก้ว สามีชอบแกล้มด้วยชีสอย่างดี คือกรูแยร์กับบลูชีส ตามด้วยแค็รกเกอร์น่าอร่อย เขาเคยบอกว่า...ท่านผู้รู้ไม่แนะนำให้กินเนยกับแค็รกเกอร์เพราะจะทำให้เสียรส แต่เราชอบนี่นา!
จริงด้วยนะคะ คนเราไม่จำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของผู้อื่นเสมอไป จนลืมความต้องการแท้จริงของตนเอง
เราดื่มกินกันอย่างมีความสุข...ไวน์แก้วเดียวสำหรับดิฉันก็พอแล้ว ที่เหลือยกให้สามีทั้งหมด เขามีอารมณ์ขันบอกว่า เอ๊ะ! แซลมอนรมควันสีแดงทำไมกินกับไวน์ขาวได้อร่อยแฮะ!
คุณลุงคุณป้าก็หันมายิ้มแย้มกับเด็กๆ ไม่หยุด บางทีก็ส่งเสียงทักทายด้วย แต่หนุ่มสาวผมทองคู่นั้นไม่สนใจใครเลย ชะโงกหน้าเข้าหากัน พร่ำพลอดกันตลอดเวลา...ราวสี่ทุ่มแขกก็บางตาลง คุณลุงคุณป้าลุกมาหาเด็กๆ ชมเชยกับเราว่ามีลูกน่ารักก่อนจะเดินผละไป
ต่อมาก็เหลือเราเป็นโต๊ะสุดท้าย...
สามีเรียกเช็กบิลเรียบร้อยแล้วเราก็ลุกจากโต๊ะเพื่อกลับห้องนอน...จะเป็นเพราะสามีใส่ตัวเลขในช่องทิป (เครดิตการ์ด) ค่อนข้างมากหรือไงไม่ทราบ หนุ่มน้อยที่เสิร์ฟโต๊ะเรามาตลอดก็นำกล่องเค้กกับไอศกรีมมาให้เด็กๆ บอกว่าสำหรับโต๊ะสุดท้าย...ดิฉันหันไปหาหนุ่มสาวผมทองคู่นั้น...
คุณพระช่วย! ที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า อากาศคล้ายจะเย็นวูบกว่าเดิม หลุดปากว่า เอ๊ะ! ฝรั่งโต๊ะนั้นหายไปไหน? พนักงานเสิร์ฟหันมองแล้วกลืนน้ำลาย...ถามเสียงเครือๆ ว่าคุณเห็นอีกรายแล้วหรือครับ? แกไปเที่ยวพัทยาแล้วขากลับโดนรถชนตายคาที่ทั้งคู่
ดิฉันเดินตัวเบาหวิว ใบหน้าชาวูบวาบ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกัน...ยังดีที่สามีกับลูกๆ ไม่เห็น ดิฉันเลยขนหัวลุกคนเดียวค่ะ!