สุดงง! หนุ่มโพสต์ เผยพาแม่ไปผ่าเข่า ใช้สิทธิ์บัตรทอง ค่ารักษาฟรี แต่ต้องเสียค่าเอกสาร 2 แผ่น 600 บาท

        ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เล่าเรื่องราวอัดอั้นตันใจ หลังไปใช้สิทธิ์รักษาพยาบาล โดยใช้สิทธิ์บัตรทองที่ รพ.ของรัฐ รักษาฟรีจริง แต่ต้องเสียค่าใบรับรองแพทย์ และ ใบสรุปค่ารักษาพยาบาล รวม 600 บาท แพงกว่าค่ารักษาเสียอีก โดยระบุว่า “รักษารพ.ของรัฐฟรี!!” แต่เสียเงินค่าขอใบรับรองแพทย์-ใบสรุปค่ารักษาพยาบาล 600 บาท!!! สรุปค่าเอกสารแพงกว่าค่ารักษาอี๊กก!!! จะเล่าให้ฟังแบบยาวๆ ละเอียดๆ ค่ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) แม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐในการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ โดยที่ผู้ป่วยอาจจะต้องเสียเงินส่วนต่างของอุปกรณ์ หรือค่าห้องพิเศษเพิ่มเติมก็ตาม

        ซึ่งสิทธิ์บัตรทองนี้ถือว่าดีมากในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงเกือบแสน หรือกว่าหลักแสนในแต่ละครั้ง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการรอคิว หรือการรับบริการในสถานพยาบาล ด้วยความหนาแน่นของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในปัจจุบัน แต่แม้จะรักษาฟรีแล้วก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขอเอกสารจากโรงพยาบาลของรัฐ แพงกว่าค่ารักษาเสียอีก เพราะรักษาโรคฟรี แต่ใบรับรองแพทย์ใบละ 300 บาท!!!!  จากการที่แม่มารักษาผ่าตัดเข่าเสื่อมที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วยสิทธิ์บัตรทองนี่แหละครับ ได้รับการช่วยเหลือค่ารักษาที่ผ่าตัดหากจะรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองข้างละกว่า 1-2 แสนบาท แต่ได้สิทธิ์บัตรทองมาช่วย และเบิกค่าใช้จ่ายส่วนเกินกับประกันชีวิตที่ทำเอาไว้ ซึ่งก็มีค่าห้องพิเศษ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ พวกยานอกบัญชี ค่ายากลับบ้าน เป็นต้น

        ซึ่งตามหลักการของการเบิกค่าใช้จ่ายประกันชีวิต ก็จะต้องขอเอกสารจากทางโรงพยาบาล และที่ขาดไม่ได้ 2 ฉบับหลักๆ คือ แบบฟอร์มความเห็นแพทย์ในการรักษาแต่ละครั้ง และใบสรุปค่ารักษาพยาบาล ที่เป็นใบสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด และค่าใช้จ่ายส่วนเกินตามใบเสร็จรับเงินที่ผู้ป่วยจ่ายเงินไปเอง ซึ่งเอกสารเหล่านี้หากเรารักษาในโรงพยาบาลเอกชน เจ้าหน้าที่เขาทำให้หมด และจัดการเคลมส่วนต่างให้ทั้งหมด แต่หากเป็นโรงพยาบาลของรัฐผู้ป่วย หรือญาติ ต้องจัดการเองทั้งหมด (ซึ่งอันนี้เข้าใจ) และใช้เวลารอเอกสารอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10-15 วัน (ไม่รวมวันหยุดราชการ) จากประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้มาขอเอกสารทั้งสองฉบับนี้ ก็รู้แล้วว่าต้องขออะไรตรงไหนบ้าง และงงตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าจะต้องเสียค่าจัดทำเอกสารใบละ 300 บาท รวม 2 ฉบับนี้ เป็นเงิน 600 บาท และตกใจพอสมควรว่าทำไมต้องเสียเงินในการออกเอกสารด้วยกระดาษเอ 4 ใบเดียว ค่าหมึก ค่าปริ้นท์ เป็นของทางราชการทั้งหมด

        เมื่อไปติดต่อกับหน่วยงานสองแห่งในโรงพยาบาล หน่วยแรกเป็นแผนกนิติเวช ที่ต้องยื่นแบบฟอร์มของทางบริษัทประกันชีวิต พร้อมชำระเงิน 300 บาท และจะได้ใบรับเงินมาเป็น “บิลเงินสด” !!!!!! ถึงกับงงว่า อะไรนะ นี่ออกเป็นบิลเงินสดเหมือนร้านขายของชำหน้าบ้านเลย แต่ก็อยู่ในฐานะที่พูดอะไรไม่ได้ ถ้าไม่จ่ายเงินเราก็ไม่ได้เอกสาร ซึ่งผ่านมา 12 วันทำการแล้ว ก็ยังไม่ได้รับหน่วยงานที่สองก็ไปฝ่ายที่เขาจัดทำใบสรุปค่ารักษาพยาบาล ที่นี่ก็ยื่นเอกสารหลักฐานที่เราต้องการของผู้ป่วยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ และก็รอเอกสาร 10-15 วัน (ไม่รวมวันหยุดราชการ) เช่นกัน แต่เอกสารนี้จ่ายเงินวันที่มารับเอกสาร และก็จะได้รับใบเสร็จรับเงินที่ดูดีขึ้นมาหน่อย คือใบเสร็จรับเงินเข้ากองทุนสวัสดิการของทางโรงพยาบาล ก็แอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่าทำไมถึงมีการเก็บเงินด้วยหรอครับ ทั้งที่เป็นการขอเอกสารทางราชการ ได้รับคำตอบมาว่า จากที่ประชุมของผู้บริหาร เขาเห็นว่าคนที่มาขอเอกสารเอาไปเบิกเงินกับประกันชีวิต เขาได้เงินเพิ่มมาอยู่แล้ว ก็เลยต้องเก็บค่าใช้จ่าย!!!

        ซึ่งขอบอกก่อนว่า ประกันชีวิตบางฉบับหากผู้ป่วยอายุเกิน 60 ปี เขาไม่จ่ายค่าชดเชยรายวันให้ เพราะถือว่าไม่ได้ทำงานแล้ว ซึ่งเราเป็นแบบนั้น สรุปว่า บางทีเบิกประกันได้ไม่ครบ เพราะบางอย่างเกินสิทธิ์ ต้องมาเสียค่าขอเอกสารอีก 600 บาท มันเหมือนจะเล็กน้อยนะครับ แต่เงินจำนวนนี้รวมกันได้กี่คน และเงิน 600 บาท กับคนที่จำเป็นต้องมารักษาสิทธิ์บัตรทองมันยิ่งใหญ่กับหลายคนนะครับ อย่างไรก็ตาม คิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกครับ ทางโรงพยาบาลก็ยังคงต้องเก็บค่าธรรมเนียมต่อไป แต่อยากให้หันมองคนที่เขาไม่มีเงิน และการเก็บเงินแบบนี้มันถูกต้องตามระเบียบของทางราชการหรือไม่ ขอบคุณครับ ส่วนผู้ป่วยที่จะเบิกประกันของตัวเอง เตรียมเงินมาด้วย 600 บาท เพื่อขอเอกสารทางราชการ !! และไม่รู้ว่ารพ.รัฐ ที่ไหนเก็บค่าธรรมเนียมแบบนี้บ้างหรือเปล่า หรือแพงกว่านี้หรือไม่