ตำรวจบุกรวบ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ แต่ละคนระดับหัวกะทิ
แปลกนะที่คนสมัยนี้ไม่เห็นใจคนอื่น
กลับกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว
หลอกลวงซ้ำซาก หากินบนความทุกข์ยากของคนอื่น
คนแบบนี้ตายไม่กี่ชาติ ก็ไม่น่าจะได้ผุดได้เกิด
เจ้าของกระทู้ขอสาปแช่งค่ะ
------------------------------------------------------------------
บุกรวบ "แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์" เอาความรู้จากแก๊งค์ประเทศเพื่อนบ้านมาใช้
หวังเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย แต่ละคนระดับหัวกะทิ
บิ๊กเด่นส่งทีมทลายกลุ่ม Startup คอลเซ็นเตอร์เมืองไทย
หลังจิ๊กโพยบอสของประเทศเพื่อนบ้าน
ข้ามกลับมาเปิดเองในประเทศไทยได้ 2 เดือน แต่ละคนระดับหัวกะทิทั้งนั้น
ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้เป็นอันดับหนึ่งเพราะ
สร้างความเดือดร้อน ให้ประชาชน โดยล่าสุด ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มือปราบคอลเซ็นเตอร์ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
กลุ่มใหม่เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ชักชวนให้ลงทุนและทำภารกิจ
ภายใต้บริษัทปลอมที่ใช้ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์
จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT)
ชุดที่ 5 ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย
ซึ่งตามปกติจะอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จนสืบสวนทราบถึงสถานที่ตั้งก่อนนำกำลังบุกทลาย
ภายในคอนโดย่าน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มีผู้ร่วมขบวนการภายในห้อง
มีจำนวน 4 คน ตรวจยืดคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม
ชิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ชิม
จากการตรวจลอบพบวาขอมูล รูบแบบการหลอกลวงเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งท้ายสุด หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการได้ยอมรับว่าได้นำความรู้ นำ Knowhow
ที่ได้จากการไปทำในประเทศเพื่อนบ้านกลับมาทำเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้ระดับอาจารย์
ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากคนจีนแค่ 3%
โดยวาดฝันไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก้งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก
และจะเป็น Start Up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์
ผบ.ตร.พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง
ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ หน.ชุด ปฏิบัติการ PCT ที่ 5
พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ จงเจริญ
พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี ร.ต.อ.วุฒินันท์ คงดี ร.ต.อ.ปรมา ปราณี
ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5
ร่วมกับชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. สืบสวนติดตามนำมาสู่การเข้าตรวจค้น
ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่
อ.เมือง จว.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่
76222565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 จับกุมตัวผู้ต้องหาดังนี้
นายสุพรพงษ์ ปัญญาไว หรือแบงค์ อายุ 31 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 977/64ถน่นสามเสน แขวงถนนนครชัยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาล จ.สุพรรณบุรีที่ จ.236/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65
โดยกล่าวหาว่า "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น"
พร้อมยึดของกลางไว้ ดังนี้
1.คอมพิวเตอร์ อออินวัน จำนวน 3 เครื่อง
2.โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง
3.สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม
4.ชิมการ์ด โทรศัพท์ 38 ชิม
จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ภายในคอน โดย่าน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองจ.สมุทรปราการ พฤติการณ์กล่าวคือ
ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. (มือปราบคอลเซ็นเตอร์)
ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ "กลุ่มใหม่"
เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ซึ่งมีรูปแบบการหลอกลวงให้หลงรักก่อน จากนั้นจะชักชวนให้
"ลงทุนและทำภารกิจ" ภายใต้บริษัทปลอมที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ จึงได้สังการไห้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์
ผบก.สส.บช.น. หรือ หัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5
สืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวนี้มีอฟฟิศตั้งอยู่ที่ ห้องพักเลขที่ 188/130
คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้าน ใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ
ซึ่งโดยปกติออฟฟิศของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนไทยจะอยู่ใน
ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีการตั้งอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด PCT5 เข้าตรวจคัน
ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่
อ.เมือง จว.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่
762/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 ซึ่งเป็นที่ตั้งออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบนายสุพรพงษ์ ปัญญาไว หรือแบงค์ ผู้ต้องหา
นางสาวทิพวรรณ ปัญญาไว หรือแหม่ม น.ส.สิริธร หมื่นโฮ้ง หรือแสตมป์
และน.ส.คณิณัช จิรโชควนิช หรือแฟงทั้ง 4 คน อาศัยอยู่ภายในห้องพัก
และตรวจค้นพบ คอมพิวเตอร์ 3เครื่อง , โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง , สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม ,
ชิมการ์ด โทรศัพท์ 38 ซิม ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลทั้งในโทรศัพท์และ
คอมพิวเตอร์ทำให้ทราบว่าทั้ง 4 ได้ร่วมกันหลอกลวงโดยมีแผนประทุษกรรมคือ จะสร้างเฟสบุ๊คปลอม (อวตาร)
โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นสาวสวยแล้วขักชวนเพื่อนในเฟสบุ๊ค กล่าวคือเป็นการพูดคุยเชิงชู้สาวเพื่อ
ชักชวนมาลงทุน โดยเมื่อเหยื่อสนใจ จะเชิญเข้า "กลุ่มไลน์" โดยอ้างว่า
เป็นบริษัทที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP ซึ่งแท้จริงเป็นบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง
และจากนั้นจะให้คุยกับ อ.กอล์ฟ ซึ่งเป็นตัวตนปลอมที่อุป โลกน์ตนเองว่า
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หลอกเสนอขายแผน โปรแกรม หลายๆแบบ
เช่น การท่องเที่ยว การแต่งงาน แล้วหลอกให้โอนเงินร่วมลงทุน
ตามแผนงานต่างๆเหล่านั้น เหมือนเป็นการหลอกให้ทำภารกิจโดยอ้าง
ว่าเมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วทำภารกิจเสร็จจะได้เงินคืน ในจำนวนมากกว่าเดิม
โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีเหยื่ออยู่ในกลุ่มเพียงคนเดียว ที่เหลือจะเป็นหน้าม้าทั้งหมด
โดยจะมีการให้หน้าม้าแสร้งสงภาพสลิปการโอนเงินทำทีว่าได้รับเงินจริง แต่แท้จริงเป็นสลิปการโอนเงิน
ปลอม ซึ่งเมื่อเหยื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้รับเงิน โอนจริงจะเกิดความโลภ
และยอมโอนเงินลงทุน ในที่สุด และเมื่อเหยื่อ โอนเงินแล้วจะทำทีแสดงข้อมูลใน
โปรแกรมโชว์ยอดรายได้ให้เหยื่อเห็น แต่เหยื่อต้องการถอนเงินก็จะไม่สามารถถอนได้ โดยจะอ้างว่าเหยื่อทำผิดวิธี
และจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ โดยรูปแบบการวางระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
กลุ่มนี้เป็นรูปแบบเดียวกับหลายๆแก๊งที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
แต่กลุ่มนี้สามารถรวบรัดระบบต่างๆไว้ในห้องๆเดียวด้วย
คอมพิวเตอร์เพียง 3 เครื่อง และใช้คนจัดการเพียง 4 คน
ซึ่งมีทั้งการทำระบบหลังบ้าน , ระบบการแบ่งห้องไลน์สนทนา , ระบบแถว 1
ที่การชักชวนเหยื่อ , การปลอมสลิปด้วยเทมเพลตในโปรแกรม Photoshop
และอีกหลายขั้นตอน ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างดี
ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการตรวจค้น ชุดจับกุมได้ทำการจับกุมตัว นายสุพรพงษ์ปัญญาไว หรือแบงค์
ตามหมายจับของศาล นำตัวส่งพนักงานสอบสวนสภ.หนองหญ้าไช จ.สุพรรณบุรี
ดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้นำตัวอีก3 รายมาซักถามปากคำที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ
น.ส.คณิณัช จิรโชควนิช หรือแฟง ได้ให้การว่า "ตนเองเคยเป็นพนักงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา
ซึ่งทำจนมีความชำนาญมาก มีความรู้ระดับอาจารย์ แต่ละเดือนตอนอยู่กัมพูชาสามารถทำยอดเงินได้เดือนละเป็น100 ล้านบาท
ยอมรับว่าตัวเองคนเดียวสามารถทำงานได้เหมือนคนหกคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเมื่อทำไปเรื่อยก็เกิดความรู้สึกที่ว่า
ทำไมจะไปทำเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากบอสชาวจีนแค่ 3% จึงเกิดความโลภคิดอยากทำเองเพื่อจะได้รับเงินเต็มๆ
โดยระหว่างที่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ก็ได้แอบเก็บข้อมูล รูปแบบ สคริปต่างๆของชาวจีน
และได้เลือกรูปแบบที่คิดว่าสมบูรณ์แบบเก็บติดตัวไว้ และได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อประมาณเดือน ก.ย. 65
จากนั้นก็ได้เริ่มทำในประเทศไทยโดยได้จ้างให้ โปรแกรมเมอร์คนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชา
เขียน โปรแกรมให้ ในราคา 60,000 บาท จากนั้นจึงได้ร่วมกับ
พวกที่อยู่ในห้องอีก 3 คน ทำด้วยกัน โดยส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากการหลอกลวง
ตนเองจะได้ 30%, นายสุพรพงษ์ฯ จะได้ 30% , น.ส.สิริธรฯ จะได้ 20% และ นางสาวทิพวรรณฯ จะได้ 20%
โดยหวังไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start Up
เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน
อยู่ระหว่างติดตามผู้เสียหายโดยจะมีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดี
กับทั้งหมดตามกฎหมายในเรื่องการฉ้อ โกงประชาชนต่อไป
ในชั้นจับกุม นายสุพรพงษ์ ปัญญาไว หรือแบงค์ ให้การว่า "ตนเองเป็นพนักงานอยู่ในเว็บพนันชื่อว่า UFABE T168.net
โดยมีเจ้าของเป็นชายไทยที่มีฐานะคนหนึ่ง ซึ่งตอนอยู่ที่กัมพูชา ได้รู้จักและเป็นแฟนกับ
น.ส.คณิณัชฯ ซึ่งตอนนั้น น.ส.คณิณัช เคยทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่
ประเทศกัมพูชา และเอารูปแบบนั้นกลับมาทำที่ประเทศไทย โดยตนเอง
ก็ร่วมทำด้วยกัน โดยหน้าที่ต่างๆก็จะช่วยกันทำทั้ง 4 คน และเมื่อได้กำไรก็จะนำมาแบ่งกัน"
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า "แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีความน่ากลัว
เพราะทั้ง 4 ถือเป็นต้นเชื้อ เป็นระดับหัวกะทิ ที่นำความรู้ความสามารถจากการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
กลับมาตั้งต้นทำในประเทศไทยซึ่งเราจะมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการ ตัดไฟแต่ต้นลม
ได้อย่างทันท่วงที่ซึ่งเกิดมาจากการวางรากฐาน วางระบบไว้อย่างดี ของท่าน
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่งท่านได้ทำไว้ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.
เป็นหัวเรือทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาเป็นเวลาหลายปี ขอฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากคนร้ายกลุ่มนี้
โดยสังเกตจากภาพอวตาลที่ใช้หลอก โดยแจ้งข้อมูลมาที่ สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือ ศูนย์ ศปอส.ตร. 081-8663000
ผู้สียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com และขอเตือนขอเตือนประชาชนคนไทย
ที่ว่างงานอยู่ กำลังตัดสินใจไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่ไป
แล้วก็เป็น call center และเมื่อใดที่ไปเข้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วคุณก็เป็นเยี่ยงอาชญากร ไม่ใช่เหยื่อ