10 ผลไม้สายพันธุ์ไทย ที่คนรุ่นใหม่ แทบไม่เคยรู้จักมาก่อน
ถือเป็นความเสียเปรียบ ของคนรุ่นใหม่ ที่เกิดมายังไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของ ผลไม้สายพันธุ์ไทย ซึ่งปัจจุบันหาพบได้ยาก(ถึงยากที่สุด) บางคนอาจเรียกว่า “ผลไม้ป่า” ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในป่าก็ตาม ซึ่งบรรดาคนรุ่นเก่าน่าจะรู้จัก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่วนจะมีชนิดไหนบ้างนั้น ไปชมกันได้เลย
1.) มะพูด – เป็นพืชยืนต้นอีกชนิดหนึ่ง ที่มีคุณประโยชน์ นานาประการ ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีเหลือง รสชาติ อมเปรี้ยวอมหวาน น้ำที่คั้นจากผล สามารถแก้เลือดออกตามไรฟัน ขับเสมหะ รากมะพูดต้มแก้ไข้ ถอนพิษ เปลือกต้มใช้ล้างแผล เมล็ดตำรักษาอาการบวม รู้แล้วใช่ไหม ถ้ารู้ก็ มะพูด แล้วนะ

2.) กัดลิ้น – ไม้ยืนต้น ที่มีลักษณะลำต้น แตกเป็นเกล็ดบาง ๆ เป็นพืชแบบ ผลเดี่ยว เมื่อสุก จะมีสีเหลืองแกมน้ำตาล รับประทานเป็นผลไม้ มีรสหวาน สรรพคุณ รักษาแผลในกระเพาะ ลำไส้ ช่วยสมานแผล อีกทั้งใช้เป็นส่วนผสมของยา รักษาโรคริดสีดวงทวารได้อีกด้วย

3.) พลา – ผลไม้ชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นช่อ ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีดำ รสชาติหวานมัน สรรพคุณในเชิงวิชาการ อาจจะมีอยู่มากล้น ขอไม่กล่าวถึง แต่จะขอกล่าวในเรื่องศาสตร์ ด้านอาวุธ ของเหล่าวัยซน เนื่องจากลูกพลา สามารถนำไปเป็นกระสุน บรรจุแบบ ไม่ออโตเมติก กับอาวุธที่มีชื่อว่า ฉับโผง ลักษณะรูปร่างอาวุธ ตามภาพประกอบ ลำกล้องผลิตจากไม้ไผ่

4.) มะขวิด – ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงประมาณ 10 เมตร ลักษณะผลเปลือกแข็ง ขนาดผ่าศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร มีเนื้อมาก กลิ่นหอม และมีเมือกหุ้มเมล็ด อีกทั้งเป็นยาบำรุงกำลัง เจริญอาหาร แก้ท้องเสีย รักษาโรคทางเดินอาหาร โรคลักปิดลักเปิด ตกเลือด แก้พยาธิ ขับลม ปลือกไม้นั้น พม่าเอาไปบด ทำเป็นแป้งผัดหน้า ด้วยแหละ

5.) นมควาย – เป็นไม้ในตระกูล กระดังงา ชื่อไม้ชนิดนี้ อาจดูไม่ค่อยสุภาพ บางพื้นที่จึงเรียก หำลิง (โอย .. หนักเข้าไปอีก) นมแมวป่า, บุหงาใหญ่, ติงตัง, ตีนตั่งเครือ, พีพวน, สีม่วน เป็นต้น ผลรูปไข่ เป็นช่อ สุกแล้วมีสีแดง กลิ่นหอม กินได้ และขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

6.) นมแมว – ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ที่มีผลสุกสีเหลือง เปลือกนิ่ม และมีกลิ่นหอม เนื้อไม้กับราก ต้มเป็นยาแก้ ไข้หวัด ไข้ทับระดู และเพื่อขับเสมหะ รากนมแมว รากหนามพรม ต้มรวมกับรากไส้ไก่ ใช้แก้ริดสีดวงจมูก คั้นยอดอ่อนกับน้ำปูนขาว ทาบริเวณท้อง ช่วยลดอาการท้องอืด ตำรากนมแมวกับน้ำปูนใส ทาแก้พิษแมลงสัตว์ กัด ต่อย ได้อีกด้วย

7.) คอแลน – ไม้ยืนต้น ในตระกูลเดียวกับ ลิ้นจี่ เงาะ ลำไย ผลเป็นปุ่มปมหนาแน่น สีแดง เปลือกคล้ายกับลิ้นจี่ แต่เนื้อคล้ายเงาะ รสเปรี้ยว กินได้ (แต่ไม่เท่ห์) ส่วนเมล็ดกินไม่ได้ เนื่องจากมีพิษ

8.) ตะคร้อ – หรือ กาซ้อง, คอส้ม, เคาะ, ค้อ, เคาะจ้ก, มะเคาะ, มะจ้ก, มะโจ้ก, ตะคร้อไข่, ซะอู่เสก, กาซ้อ, คุ้ย, ปั้นรั้ว, ปั้นโรง, บักค้อ, หมากค้อ โอยย.. เหนื่อยจุง ชื่อเยอะไปไหน มีผลทรงกลม เปลือกหนา ภายในมี 1 ถึงสองเมล็ด ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยว ปกติจะติดผลช่วง เดือนมีนาคม ถึงเดือนกรกฎาคม

9.) กระบก – ชาวเหนือเรียก มะมื่น อีสานเรียก หมากบก ฝั่งสุรินทร์เรียก หลักกาย ส่วนสุโขทัยและโคราชเรียก มะลื่น (อาจจะลื่นก็ได้ ถ้าพื้นแฉะ) ผลกลมรี ทรงกล้วยไข่ เมื่อสุกจะมีสีเหลือง อมเขียว รสชาติมันอมหวาน เมล็ดนำไปคั่ว อร่อยมาก สรรพคุณบำรุงเส้นเอ็น ไขข้อ และฆ่าพยาธิ

10.) ตะขบ – ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลมีเนื้อนุ่ม ฉ่ำน้ำ รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้ ดอง หรืออาจจะทำแยม ใบอ่อนกินเป็นผักสด ผลดิบแก้ท้องเสีย น้ำที่คั้นจากใบแก้เปลือกตาอักเสบ เนื้อไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ ใครมีปลูกไว้ซักสิบไร่ เปิดร้านหมอยาสมุนไพรได้เลย

อย่างไรก็ดี การกินผลไม้นั้น ล้วนเสริมสร้างคุณประโยชน์ ให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะผลไม้ไทย มีความเป็นสมุนไพร อันมีสรรพคุณนานาประการ แต่ทั้งนี้ การเลือกกินผลไม้ ก็ควรมีความรู้เกี่ยวกับผลไม้นั้น ๆ อยู่บ้าง หากพลาดพลั้งขึ้นมา อาจต้องหามส่ง รพ. เนื่องจากพืชบางชนิด ก็มีพิษแฝงอยู่ เช่นกัน

