เรื่องจริง! หนุ่มเอาคลิปหนีบกระดาษหนึ่งอันไปแลกเป็นบ้านได้หนึ่งหลังเขาทำได้อย่างไร?
เรื่องจริง! ไคล์ แมคโดนัลด์ แลกบ้านด้วยคลิปหนีบกระดาษ เขาทำได้อย่างไร?
หากมีคนบอกว่าคลิปหนีบกระดาษหนึ่งตัวสามารถแลกบ้านได้หนึ่งหลังคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ หลายคนคงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับชายคนนี้เขาบอกว่า “เป็นไปได้”
ไคล์ แมคโดนัลด์* คือ นักเขียนบล็อกชาวแคนาดาที่เกิดแนวทางสุดเจ๋งเอาคลิปหนีบกระดาษหนึ่งอันไปแลกเป็นบ้านได้หนึ่งหลัง ซึ่งแนวทางสุดแปลกนี้เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมในวัยเด็กชื่อBigger Better ที่มีการไล่แลกของไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ของที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ไคล์ จึงได้หาของชิ้นเล็ก ๆ ในบ้านเพื่อทำโปรเจคต์นี้ และเขาก็ได้ของที่ถูกใจซึ่งก็คือคลิปหนีบกระดาษสีแดงนั่นเอง
จากนั้นก็ได้สร้างเว็บไซต์ขึ้นเพื่อบอกเรื่องราวของเขา พร้อมกับหาคนที่พร้อมแลกสิ่งของที่มีค่ากับเขาซึ่งปรากฏว่ามีคนสนใจเข้ามาอ่านเรื่องราวของเขามากมายไคล์จึงได้แลกของไปเรื่อย ๆ จนถึง 1ปี ในการทำแนวทางสุดแปลก และได้บ้านตามที่เขาคาดไว้จริง ๆ
หลังจากที่แลกคลิปหนีบกระดาษเป็นบ้านได้แล้ว เขาได้เขียนหนังสือชื่อ*One Red Paperclip*เพื่อเล่าเรื่องราวความตั้งใจของเขาให้เป็นแรงบันดาลใจกับคนจะได้มองเห็นคุณค่าของสิ่งเล็ก ๆแต่หากมีความตั้งใจสิ่งเล็ก ๆ นั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ได้
*สำหรับการแลกของของเขามีทั้งหมด 14 ครั้ง* ได้แก่
*ครั้งที่ 1* วันที่ 14 กรกฎาคม 2005 ไคล์ แลกคลิปหนีบกระดาษกับปากการูปปลากับผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองแวนคูเวอร์
*ครั้งที่ 2* และในวันเดียวกันนั้นเอง ไคล์ แลกปากการูปปลากับลูกบิดประตูแกะสลักทำมือจากชายช่างปั้นหม้อในซีแอตเติล ซึ่ง ไคล์ ตั้งชื่อลูกบิดนี้ว่า Knob-T
*ครั้งที่ 3* วันที่ 25 กรกฎาคม 2005 ไคล์ กับเพื่อนเดินทางไปแมซซาชูเซสต์ สหรัฐอเมริกา เพื่อแลก Knob-T กับเตาปิคนิคพร้อมกับเชื้อเพลิง
*ครั้งที่ 4* วันที่ 25 กันยายน 2005 ไคล์เดินทางไปเคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เพื่อแลกเตาปิคนิคกับเครื่องปั่นไฟฮอนด้า
*ครั้งที่ 5* วันที่ 16 พฤศจิกายน 2005 ไคล์ ได้แลกเครื่องปั่นไฟฮอนด้ากับชุดจัดงานปาร์ตี้ที่มีถังเบียร์และป้ายไฟ Budweisorซึ่งเป็นเบียร์ยี่ห้อดังในอเมริกา
*ครั้งที่ 6* วันที่ 8 ธันวาคม 2005 ไคล์ แลกชุดจัดงานปาร์ตี้กับรถสกีหิมะ โดยแลกกับนักตลกชื่อดังชาวควิเบค มิเชล แบแรตต์ ซึ่งเป็นการแลกที่ถูกช่วงเวลามาก เพราะสิ้นปีใคร ๆ ก็อยากได้ชุดจัดงานปาร์ตี้
*ครั้งที่ 7* สัปดาห์เดียวกัน ไคล์ แลกรถสกีหิมะกับตั๋วเดินทางไปเที่ยวที่ยาห์ก รัฐบลิติช โคลัมเบียจำนวน 2 ที่นั่ง
*ครั้งที่ 8* วันที่ 7 มกราคม 2006 ไคล์ แลกตั๋วเดินทางจำนวน 2 ที่นั่ง กับรถตู้สุดยอดมาก
*ครั้งที่ 9 *วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2006 ไคล์ แลกรถตู้กับการทำสัญญาอัดเสียงกับบริษัทเมทัลเวิร์ค
*ครั้งที่ 10* วันที่ 11 เมษายน 2006 สัญญาการอัดเสียงถูกแลกกับ จูดี้ เมอรี แกล้น นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน กับที่พักในเมืองฟินิกซ์ รัฐอะริโซนา สหรัฐอเมริกา จำนวน 1 ปี
*ครั้งที่ 11* วันที่ 26 เมษายน 2006 ที่พักดังกล่าว 1 ปี ถูกแลกกับการอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาบ่ายของ อลิซ คูเปอร์ ร็อกเกอร์ชื่อดังชาวอเมริกัน ซึ่ง อลิซ คูเปอร์ เป็นคนยื่นข้อเสนอนี้เอง
*ครั้งที่ 12* วันที่ 26 พฤษภาคม 2006 ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับร็อกเกอร์คนดังถูกนำไปแลกกับลูกโลกหิมะเล็ก ๆ 1 อัน ซึ่งตรงนี้เองคนจึงเริ่มมองว่าเขาบ้าไม่คุ้มเอาเสียเลย
*ครั้งที่ 13 *วันที่ 2 มิถุนายน 2006 ลูกโลกหิมะถูกนำไปแลกกับ คอร์บิน เบินเซน เพื่อรับสิทธิการแสดงหนังเรื่อง Donna on Demand ที่เขากำกับ ซึ่งเหตุผลที่แลกคือ คอร์บิน มีงานอดิเรกเป็นคนสะสมลูกโลกหิมะ
*ครั้งที่ 14* วันที่ 5 กรกฎาคม 2006 การแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้ายก็เกิดขึ้นเมื่อสิทธิการแสดงหนังถูกไคล์ นำไปแลกเปลี่ยนกับบ้าน 2 ชั้นในไร่ ณ มลฑลซัสแคตเชวาล แคนาดา*ซึ่งมีราคา 50,000ดอลลาร์ หรือ 1,000,000 บาท***(ว้าว…ว..ว)
เรื่องจริง! ไคล์ แมคโดนัลด์ แลกบ้านด้วยคลิปหนีบกระดาษ เขาทำได้อย่างไร?
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องของไคล์
- หากคิดจะทำอะไรสักอย่างและคิดว่าต้องทำให้ได้และตั้งใจจริงยังไงมันต้องสำเร็จสักวันหนึ่ง
- ของแต่ละอย่างของแต่ละคนอาจมีมูลค่าไม่เท่ากัน
- บางครั้งวิธีการหรือรางวัลอาจไม่สำคัญเท่าตัวเราเอง เพราะเมื่อจบโปรเจคต์นี้ ไคล์ ได้รับการติดต่อจากสำนักข่าวและนิตยสารให้เขียนหนังสือมากมายซึ่งเหมือนเป็นการดังข้ามคืนเลยทีเดียว
- ข้อแตกต่างของคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลวมักแตกต่างกันที่การคิด คนสำเร็จมักไม่รอเมื่อเขามีเป้าหมายจะลงมือทำ ส่วนคนล้มเหลวมักรอให้ดวงดีค่อยทำหรือท้อถอยไปก่อนจะสำเร็จ
- แนวทางที่ดีสามารถสร้างรายได้หรือสิ่งตอบแทนกลับมาได้อย่างมหาศาลและบางครั้งก็เป็นแนวทางเล็ก ๆ แต่กลับสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือนวัตกรรมให้กับโลกของเราได้
สำหรับคนเราบางครั้งความสำเร็จมันก็ไม่ได้มีมาง่าย ๆ แบบมาเรียกเคาะประตูหน้าบ้านเอาความสำเร็จมาให้ดังนั้น *ตัวเราเองนั่นแหละที่ต้องออกไปค้นหาความสำเร็จเอง
โดยเริ่มต้นทำในสิ่งเล็ก ๆ ที่มีอยู่ก่อน ค่อย ๆ ไต่เต้าไป หากเจออุปสรรคก็อย่าท้อถอยหรือหากเป็นการทำธุรกิจใหม่ ๆก็อาจทำแบบผิด ๆ ถูก ๆ เพราะความไม่รู้ แต่ประสบการณ์ทำงาน การลองถูกลองผิดจะเป็นครูสอนเราเอง จนวันหนึ่งเราก็จะเก่งและชำนาญ สามารถทำธุรกิจนั้นไปได้ มีบางคนกล่าวไว้ว่า “คนประสบความสำเร็จจะมองว่าอุปสรรคคือความสำเร็จปลอมตัวมา” ดังนั้น อย่าได้ท้อสู้ให้ถึงที่สุด และ วันหนึ่งความสำเร็จจะอยู่ในมือเรา
ขอบคุณที่มา moneyhub





















