ลุงรับซื้อของเก่า เจอ มือถือพังๆ ราคา 20 มูลค่ามหาศาล

เป็นอีกหนึ่งเรื่องเส้นผมบังภูเขา สำหรับของใกล้ตัวใครหลายๆคนอย่าง "โทรศัพท์มือถือ" ที่ผลิตรุ่นใหม่ๆกันออกมาทุกวัน เพื่อแข่งขันเป็นที่ 1 ของตลาดด้านเทคโนโลยี จนเชื่อได้ว่าทุกวันนี้ หลายๆคนแทบเปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น ส่วนเครื่องเก่าที่ตกรุ่นแล้ว หลายคนก็อาจเก็บไว้ ในขณะที่บางคนก็โยนทิ้งไป โดยหารู้ไม่ว่า คุณกำลังทิ้งขว้างสิ่งล้ำค่าไปอย่างไม่รู้ตัว

จากกระแสฮือฮาในสังคมและโลกออนไลน์ก่อนหน้านี้ เมื่อมีประชาชนกลุ่มกลุ่มผู้ประกอบการรับซื้อโทรศัพท์เก่ากว่า 100 ราย เดินทางไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ด้วยรถปิคอัพจำนวนกว่า 50 คัน ซึ่งกระบะท้ายบรรทุกถัง กาละมังมาเต็มคันรถ เพื่อยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมหาสารคาม เรื่องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้อง ในกรณีที่มีกระแสข่าวในโลกโซเชียล ว่ามีรถกระบะบรรทุกกาละมัง และถังน้ำ มาขอแลกโทรศัพท์มือถือเก่า เพื่อจะส่งไปสามจังหวัดชายแดนใต้ ให้นำไปทำสิ่งไม่ดี ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนจนผู้ที่มีอาชีพดังกล่าวไม่สามารถประกอบกิจการได้ โดยได้ยื่นหนังสือต่อนางจันทร์เพ็ญ ศักดิวงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมหาสารคาม

จากการสอบถาม นางเย็นศิริ นามโส ชาวบ้านหนองซอน หมู่ 1 ต.เชียงยืน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ตัวแทนชาวบ้านที่มายื่นหนังสือ เล่าว่า จากกรณีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ เรื่องที่ชาวบ้านนำรถเร่ของใช้ประเภทพลาสติก ถัง กาละมัง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งน้ำยาล้างจาน มาแลกกับโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตเก่า-เสีย เพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย โดย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งข่าวที่ออกมาเป็นข่าวลวงเป็นข่าวเท็จ ไม่เป็นความจริง

พวกตนเป็นคนค้าของเก่า ใน ต.เชียงยืน, ต.หนองซอน, ต.ดอนเงิน, ต.โพนทอง อ.เชียงยืน, ต.เขื่อน อ.โกสุมพิสัย และ ต.นาสีนวล อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม กว่า 1,000 ชีวิต ต้องความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่สามารถนำสินค้าพลาสติกไปแลกเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ และแท็บแล็ตได้เหมือนที่ผ่านๆมา อีกทั้งเมื่อพบด่านตรวจ เจ้าหน้าที่กลับเรียกตรวจและตรวจสอบรถอย่างละเอียด บางรายเจ้าหน้าที่ถึงขนาดนำตัวไปทำประวัติ จนเสียเวลาทำมาหากิน ยิ่งเมื่อเมื่อเข้าไปรับซื้อแลกเปลี่ยนในหมู่บ้าน กลับถูกชาวบ้านหรือผู้นำชุมชนไล่ออกมา ทำให้เดือดร้อนมาก เนื่องจากขาดรายได้ และถูกเข้าใจผิด จึงมาร้องเรียนขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเรื่องดังกล่าว

ที่ผ่านมา พวกตนตระเวนออกรับแลกโทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต ที่เก่าพังไม่ได้ใช้แล้ว โดยนำถัง กาละมัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่มไปแลก จากนั้นจะนำมารวบรวมเพื่อไปขายต่อให้กับร้านทองในตัวอำเภอเชียงยืน ได้ราคาเครื่องละ 20 - 40 บาท เพื่อนำไปสกัดทองแดง ในแต่ละวันจะแลกถังกาละมังกับโทรศัพท์เก่าได้ราวๆวันละ 300 เครื่อง มีรายได้เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท

นอกจากนี้ นายวินิต ชนะบุญ ชาวบ้านหมู่ 7 บ้านหนองซอน ต.หนองซอน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เปิดใจว่า วันนี้ต้องการมาเรียกร้องความเป็นธรรม กรณีที่พวกตนถูกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย โดยการนำโทรศัพท์ไปประกอบระเบิด จนพวกตนไม่สามารถทำมาหากินได้ ถูกทหารตำรวจตั้งด่านจับ ทำให้เสียขวัญ กำลังใจ จึงอยากจะมีเรียกร้องความเป็นธรรมในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม นางจันทร์เพ็ญ ศักดิวงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมหาสารคาม เผยว่า เบื้องต้นได้รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านแล้ว โดยจะได้ให้ทางอำเภอเชียงยืน ตรวจสอบกับทางร้านทองที่รับซื้อโทรศัพท์ว่าจะนำโทรศัพท์ไปทำอะไร หากนำสกัดทองแดง จะใช้วิธีไหน เพื่อความกระจ่าง พร้อมทั้งขอเวลาตรวจสอบ 15 วัน ก่อนแจ้งให้ทราบ ทั้งนี้ การแชร์ข้อมูลบนโลกออนไลน์ อยากให้ประชาชนได้อ่านให้มาก ฟังให้มาก หรือตรวจสอบให้ดีว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ

สำคัญคือ จากการศึกษาข้อมูลดังกล่าว พบว่า โทรศัพท์แต่ละเครื่องจะมี IC และมีทองคำ 99.99% เคลือบอยู่!! ซึ่งจะทำการรวบรวมโทรศัพท์ไปขายร้านทองเพื่อสกัดเอาทองคำออกมา โดยโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าจะมีทองคำมากกว่ารุ่นใหม่ๆ เฉลี่ยแล้วโทรศัพท์มือถือ 500 เครื่อง จะรวบรวมทองคำได้ 1 บาท และราคาการรับซื้อโทรศัพท์มือถือเก่าทุกรุ่นอยู่ที่ 22 - 30 บาท แต่หากเป็นรุ่นโนเกีย 107 จะอยู่ที่เครื่องละ 60 - 120 บาท โนเกีย 225 เครื่องละ 70 - 120 บาท โนเกีย 1280 105 180 109 เครื่องละ 50 - 120 บาท บอร์ดมือถือ โลละ 820 บาท ซีพียูเขียวบวกแรม(Ram) กิโลกรัมละ 300 บาท ซีพียูหน้าทองโลหะ 1,500 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ขณะที่การใช้สารเคมีสกัดนั้น พบว่าในโทรศัพท์มือถือ 10 กิโลกรัม จะได้ทองคำ 99% หนักถึง 25 กรัม ที่ได้จากแผงวงจรซึ่งสามารถสกัดมาได้ 2 ส่วน คือ ทองคำ และทองแดงนั่นเอง !!