ช่อง 3 ขาดทุนหนักในรอบ 48 ปี จ่อคืนทีวีดิจิทัลหลังฟังเงื่อนไข กสทช. เร่งฟื้นรายได้ธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครบุกตลาดต่างประเทศ
นายสมชัย บุญนำศิริ ประธานกรรมการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารช่อง 33 เอชดี ช่อง 28 เอสดี และช่อง 13 แฟมิลี่
บริษัท บีอีซี เวิลด์ขาดทุนหนักในรอบ 48 ปี เตรียมยื่นสิทธิ์ขอคืนทีวีดิจิทัล ประธานกรรมการ บีอีซี เวิลด์แบ่งรับแบ่งสู้รอฟังรายละเอียดชัด ๆ จาก กสทช.ก่อนตัดสินใจคืน-ไม่คืน พร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อเร่งฟื้นรายได้ธุรกิจทีวี ขายลิขสิทธิ์ละครในต่างประเทศ คาดสิ้นปีนี้กลับมาเติบโตอีกครั้ง
29 เมษายน 2562-รายงานข่าวจากประชาชาติธุรกิจ ระบุว่า นายสมชัย บุญนำศิริ ประธานกรรมการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารช่อง 33 เอชดี ช่อง 28 เอสดี และช่อง 13 แฟมิลี่ กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลใช้มาตรา 44 ปลดล็อกให้ทีวีดิจิทัลคืนช่องได้นั้น บริษัทก็จะแจ้งความจำนงต่อ กสทช.เพื่อคืนช่องภายในวันที่ 10 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามก็ต้องรอรายละเอียดและเงื่อนไขที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังวันที่ 10 พ.ค.นี้เช่นกัน
“ช่วงนี้บริษัทยังมีเวลาในการตัดสินใจว่าจะคืนช่องทีวีดิจิทัลหรือไม่ โดยบริษัทจะใช้สิทธิ์คืนช่องแก่ กสทช.ก่อน แต่หากเงื่อนไขที่ กสทช.ใหม่ ไม่จูงใจก็อาจจะเปลี่ยนใจไม่คืนก็ได้ แต่อย่างไรบริษัทต้องยื่นความจำนงก่อน”
อย่างไรก็ตาม มาตรการความช่วยเหลือทีวีดิจิทัลที่ออกมา ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านใบอนุญาตทีวีดิจิทัลของบริษัทที่เหลืออยู่อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท จากมูลค่าการประมูลทั้งหมด 6,471 ล้านบาท แบ่งเป็น ช่อง 33 เอชดี 3,530 ล้านบาท ช่อง 28 เอสดี 2,275 ล้านบาท และช่อง 13 แฟมิลี่ 666 ล้านบาท
นอกจากนี้ กสทช.ยังจะสนับสนุนค่าเช่าโครงข่ายให้ตลอดอายุใบอนุญาตที่เหลืออยู่อีก 9 ปี 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ปีนี้บริษัทลดต้นทุนได้เฉลี่ย 400 ล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจปีนี้ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมุ่งเน้นการทำให้ธุรกิจหลักเติบโตขึ้นจาก 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.การเพิ่มรายได้ทีวี ด้วยการปรับแผนการโปรโมตละครใหม่ เป็นทั้งก่อนและระหว่างออกอากาศ และเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและกระตุ้นการรับชม รวมถึงจัดกิจกรรมออนกราวนด์ต่อเนื่อง และจะมีการ
จัดแพ็กขายแบบ total integrate package และเพิ่มการขายแบบ nonagency มีการปรับรายการข่าวเพื่อเพิ่มเรตติ้งด้วยตามด้วย 2.การเพิ่มรายได้จากการขายสิทธิ์ต่างประเทศ เดินหน้าขายคอนเทนต์ต่างประเทศมากขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการขายลิขสิทธิ์ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในตลาดโลก 3.สร้างรายได้จากช่องทางออนไลน์ เร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม Mello และขยายฐานผู้ชมเพื่อให้เป็น OTT (over-the-top) ชั้นนำของไทย
สุดท้ายคือการปรับโครงสร้างการทำงานให้มีประสิทธิภาพ การบริหารต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากจุดแข็งที่มี ผลประกอบการปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 10,486.4 ล้านบาท ขาดทุน 311 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนในรอบ 48 ปี ที่ดำเนินธุรกิจมา
Source :ประชาชาติธุรกิจ
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ คำสั่งศาลให้ นักแสดงรุ่นใหญ่ “มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” ผู้จัดดัง เป็นคนไร้ความสามารถ
เสร็จสมบูรณ์แล้วญาญ่า บ้านเขาใหญ่ อลังการสวยงามตามากๆ
"โก๊ะตี๋-ใบมิ้นต์" โชว์หวานรอบใหม่
เด็กเกาหลีจุดไฟเผาบ้านหลังพ่อแม่ไม่ซื้อมือถือให้
อดีตนายกแพทองธาร นำพวงมาลัยดอกมะลิกราบบิดาหลังพึ่งผ่าน วันเกิดมารดา



