"เจ้าของชายสี่หมี่เกี๊ยว" เคยเป็นลูกชาวนา จบแค่ป.4 ก่อนสู้ชีวิตเป็นเจ้าของธุรกิจร้อยล้าน
อีกหนึ่งคนที่สร้างบันดาลใจให้กับคนที่กำลังท้อกับชีวิต ขอนำเสนอเรื่องราวของคุณพันธ์รบ กำลา ซึ้งเขาคือผู้ก่อตั้งชายสี่บะหมี่เกี๊ยวจำกัดซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์บะหมี่เกี๊ยวที่อยู่ตามหน้าเซเว่นหรือตามริมทางต่างๆ ที่ใครๆก็ต่างเคยลองชิมและเคยเห็นกันทั่วทุกประเทศกันอย่างแน่นอนซึ่งมีกระจายสาขาไปแล้วกว่าประมาณ 3700 สาขาด้วยกัน
ซึ่งล่าสุดนี้ก็จะมีการขยับขยายธุรกิจมากยิ่งขึ้นก็จะมีการแตกไลน์สินค้าออกไปเป็นแฟรนไชส์อีกหลายรูปแบบเช่นพันปีบะหมี่เป็ดย่าง บะหมี่ไก่ข้าวมันไก่ ชายสี่คอนเนอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะคอยเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งตลาดบนและตลาดล่างรวมถึงบุกทำเล community Mall และปั๊มน้ำมันต่างๆอีกด้วย
ซึ่งบอกเลยว่ากว่าที่เขาจะมีวันนี้กว่าจะมีธุรกิจที่ใหญ่โตในระดับประเทศกว่าจะก้าวมาถึงจุดจุดนี้ได้นั้นเขาจะต้องมีจุดมั่นคงและแข็งแรงเป็นอย่างมากถึงจะทำได้แบบนี้บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่ใครคิด
โดยตัวเขาเรียนจบชั้นม 6 กศนตอนอายุ 41 ปีโดยในสมัยก่อนทำนามาตั้งแต่ตัวเองนั้นจำความได้และได้ผลัดเปลี่ยนอาชีพมาแล้วหลากหลายอาชีพทั้งรับจ้างเก็บฝ้ายทั้งเก็บพริกเป็นลูกจ้างโรงกลึงทำงานบ้านเป็นรปภเป็นพ่อค้าขายไอติม ก่อนที่จะหันมาเริ่มต้นอาชีพเป็นพ่อค้าขายบะหมี่เกี๊ยวในช่วงปี 2535 ถึงปี 2537 ซึ่งจะมีการยึดทำเลในย่านของลำลูกกาปทุมธานีเป็นหลักหลังจากที่ได้เริ่มต้นขายชายสี่หมี่เกี๊ยวก็ปรากฏว่าขายดีตั้งแต่แรกเริ่มมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนอยู่ตลอดสามารถสร้างรายได้ได้ถึงวันละ 5,000 ถึง 7,000 บาทเลยทีเดียว
อีกทั้งเขายังมีเจ้าถิ่นคอยคุ้มครองอยู่จึงทำให้การทำมาค้าขายนั้นสามารถขายคล่องซึ่งเขาก็บอกว่าควรเจ้าถิ่นที่นี่เป็นคนสติไม่ดีอยากได้อะไรก็ไม่เคยซื้อไม่เคยขอหยิบเอาดื้อๆซึ่งก็ทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในห้างนั้นหัวหดไปตามๆกันแต่ทว่าตัวเขาเองก็ได้รับและตกอยู่ใต้อิทธิพลนี้คือการทำบะหมี่ให้กินฟรีพูดด้วยดีๆจากน้ำให้ดื่มแถมยังให้เงินอีก 20 บาทเพื่อให้เขาเอาไปซื้อของกินในวันถัดไป ซึ่งแน่นอนว่าใครเห็นก็บอกว่าทำแบบนี้เดี๋ยวก็ติดเป็นนิสัยครั้งหน้าก็จะมาขออีกซึ่งเขาก็ไม่สนใจพอเจ้าถิ่นคนนี้มาก็ให้กินฟรีอยู่อย่างนั้นติดต่อกันเป็นเวลานานถึงหลายเดือน
ซึ่งคำว่าฉายาเจ้าพ่อชายสี่นั้นมาเพราะว่าตอนขายบะหมี่ที่อยู่ลำลูกกานั้นทำไปได้ 2 ปีก็มีเงินฝากธนาคารถึง 700,000 บาทและจุดขายที่นำมาใช้เป็นหลักในการเรียกลูกค้านั่นก็คือผ้าขี้ริ้วโดยตัวเขาลงทุนซื้อผ้าขี้ริ้วมาร่วมประมาณ 10 ผืนก่อนนำมาแยกสีแยก Set ว่าสีนี้สำหรับเช็ดโต๊ะนี้เท่านั้นเช่นชามสีนี้เท่านั้นซึ่งตัวเขาก็ไม่ได้อยากจะสื่อว่าร้านของเขานั้นอร่อยกว่าร้านอื่นแต่อย่างใดแต่อยากจะสื่อว่าร้านของเขามีผ้าขี้ริ้วที่สะอาดที่สุดในโลกตัวเขาเอาผ้าขี้ริ้วมาเป็นอาวุธประจำตัวในการขายบะหมี่ขายไปเช็ดไปขายไปเช็ดไปเช็ดแล้วก็ซักผ้าถูๆเช็ดๆอยู่อย่างนั้นทำไปประมาณ 2 ปีก็มีเงินร่วมอยู่ 700,000 บาท
ซึ่งเขายังบอกอีกว่าการใช้ผ้าขี้ริ้วให้เกิดประโยชน์นั้นถือเป็นการสร้างมูลค่าให้กับผ้าขี้ริ้วหลักการก็มีแค่ว่าสิ่งของทุกอย่างนั้นมีมูลค่าถ้ารู้จักเอามาใส่สมองลงไปวิธีเอาสมองใส่ลงไปในผ้าขี้ริ้วนั่นก็คือผ้าขี้ริ้วผืนที่สวยที่สุดขาวที่สุดสะอาดที่สุดจนเช็ดหน้าได้ให้นำมาวางไว้ใกล้ๆปากหม้อจะไม่เสร็จแล้วไม่แตะต้องจะต้องทะนุถนอมผ้าขี้ริ้วผืนนั้นเหมือนไข่ในหินเพราะลูกค้าเห็นย่อมคิดตรงกันว่าผ้าขี้ริ้วยังสะอาดขนาดนี้แล้วอย่างอื่นล่ะจะสสะอาดขนาดไหนจึงทำให้ลูกค้ามั่นใจในเรื่องของการความสะอาดและสามารถสั่งอาหารกินได้อย่างสบายใจ






















