
วันที่ 4มี.ค.62 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. อดีตแกนนำ พธม. – แนวร่วม รวม 21 คน เป็นจำเลยที่ 1-21 ในความผิด 5 ข้อหา ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309 และ 310
.

ภาพเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา วันที่ 7 ต.ค.51
ตามฟ้องโจทก์เมื่อเดือน ธ.ค.55 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 5 – 7 ต.ค.51 จำเลยและกลุ่มพันธมิตร ฯ จำนวนหลายพันคน ร่วมมั่วสุมภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตั้งเวทีปราศรัย และได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่มพันธมิตร ฯ ทั้งประเทศไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส.และ ส.ว.และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่ 7 ต.ค.51 กลางวัน จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนพร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็กยางรถยนต์ผ่านไปลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภาทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้ และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุให้ ส.ส.และสว.บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้ และจำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขืนใจนายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล, นายมณฑล ไกรวัตนุสรณ์ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย, นายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคน โดยไล่ให้กลับบ้านและขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และยังมีการโห่ร้อง ด่าทอ ใช้หนังสติ๊ก อาวุธปืนยิง มีดฟันใช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน แถมยังมีการนำโซ่ไปล็อกกุญแจทางเข้า – ออกสภาทุกด้าน พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น. จะจับตัวประธานสภา และประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนถูกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
.

ต่อมาเวลากลางคืน จำเลยกับพวกยังได้ปราศรัย ยุยงให้กลุ่มพันธมิตร ฯ จำนวนหลายพันคน โดยมีอาวุธ มีด ปืน ไม้กระบอง ธง หนังสติ๊ก ฯลฯ เคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้าออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภาและขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งใช้รถกระบะ ทะเบียน วพ1968 กทม. ที่ขับขี่โดยนายปรีชา ตรีจรูญ ขับรถพุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งอัยการได้แยกฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาไปแล้ว ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 5 ให้การปฏิเสธโดยโจทก์ได้ขอให้ศาลพิพากษานับโทษ นายสนธิ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมิ่นประมาท 4 สำนวนและ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 อีก 1 สำนวนด้วย
.

โดยศาลประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.4924/2555 ซึ่งศาลสอบคำให้การจำเลยแล้ว ทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่จำเลยบางส่วนได้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี คนละ 200,000 บาท
โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัว นายสนธิ และแกนนำ พธม. 5 คนที่ถูกคุมขังคดีบุกทำเนียบรัฐบาล มาจากเรือนจำ ส่วนแกนนำ-แนวร่วมที่ได้ประกันตัวก็เดินทางมาศาลพร้อมฟังคำพิพากษา ขณะที่ผู้ร่วมชุมนุมกว่า 50 คน ก็เดินทางมาให้กำลังใจล้นห้องพิจารณา
.

ขณะที่ศาลพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์-จำเลย นำสิบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า ระหว่างการชุมนุมพลตรีจำลองศรีเมือง และจำเลยที่ 1-21 ได้ประกาศตลอดเวลาห้ามผู้ชุมนุมนำอาวุธ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในพื้นที่การชุมนุม ขณะที่ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 ราย ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาสืบสวนหาข่าว ดูแลความปลอดภัยบริเวณชุมนุม ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยไปในทิศทางเดียวกันว่า ระหว่างการชุมนุมบริเวณสภาตั้งแต่ 5 ตุลาคม จนถึงช่วงเช้า 7 ตุลาคม ไม่พบว่ามีผู้ชุมนุมรายใดเข้าไปในอาคารรัฐสภาและทำลายทรัพย์สิน แต่การชุมนุมนั้นเป็นไปโดยสงบภายใต้เจตนาการคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาล
.

ซึ่งการนำสืบยังฟังได้ว่า การชุมนุมของพธม. ในครั้งนี้ การปราศรัยเป็นเพียงการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อว่ารัฐบาลของนายสมัครและนายสมชาย เป็นหุ่นเชิดของนายทักษิณ และยุคของนายสมัครยังได้เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 237, 309 เพื่อช่วยเหลือให้นายทักษิณพ้นจากการตรวจสอบคดีทุจริต 13 โครงการโดย คตส. และเพื่อช่วยเหลือให้พรรคพลังประชาชนพ้นจากคดียุบพรรค
จึงฟังได้ว่า การชุมนุมดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรเป็นไปโดยสงบตามสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ซึ่งประชาชนในฐานะเจ้าของประชาธิปไตยได้ร่วมตรวจสอบนักการเมืองโดยแกนนำได้นำข้อมูลข้อเท็จจริงนั้นมาสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งคดีเหล่านั้นมีบทพิสูจน์แล้วจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น คดีซื้อที่ดินรัชดาฯ และศาลรัฐธรรมนูญ
โดยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาระงับการชุมนุมที่เป็นไปอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยที่กลุ่มผู้ชุมนุมคาดหมายและเตรียมตัวได้ทัน ซึ่งเป็นปกติธรรมดาที่เมื่อผู้ชุมนุมอยู่ในสถานการณ์ตรงหน้าที่มีความกดดันและเห็นมีเพื่อนผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บก็จึงได้วิ่งหลบหนีและบางส่วนก็อาจจะตอบโต้ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะรายไม่ใช่เกิดจากกรณีที่จำเลยได้ปลุกปั่นหรือยุยง การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้องทั้ง 5 ข้อหา
สำหรับจำเลยทั้ง 21 คน ประกอบด้วย
- นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม.
- นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม.
- นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม.
- นางมาลีรัตน์ แก้วก่า อายุ 65 ปีเศษ อดีต ส.ว.สกลนคร และอดีตแกนนำพธม.รุ่น 2
- นายประพันธ์ คูณมี อายุ 61 ปีเศษ อดีต สนช.
- นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม.
- นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปีเศษ อดีตผู้ประสานงาน พธม.
- นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี อายุ 58 ปีเศษ แนวร่วม พธม.
- นายสำราญ รอดเพชร อายุ 60 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. รุ่นที่ 2
- นายศิริชัย ไม้งาม อายุ 57 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. รุ่นที่ 2
- นายสาวิทย์ แก้วหวาน อายุ 56 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม.รุ่นที่ 2
- นายพิชิต ไชยมงคล อายุ 37 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายอำนาจ พละมี อายุ 52 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายกิตติชัย ใสสะอาด อายุ 53 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายประยุทธ วีระกิตติ อายุ 63 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายสุชาติ ศรีสังข์ อายุ 58 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อายุ 61 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายศุภผล เอี่ยมเมธาวี อายุ 59 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก อายุ 53 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม.
- นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 อายุ 64 ปีเศษ
- นายวีระ สมความคิด อายุ 61 ปีเศษ นักสิทธิมนุษยชน.

















