
วันที่ 3 มี.ค. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ระหว่างหาเสียง ที่ จ.เชียงใหม่ ได้ไปวิ่งออกกำลังกายที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี 13 รอบรวม 5.2 กิโลเมตร และตักบาตรตอนเช้าที่ตลาดต้นพะยอม
.

นายชัชชาติ กล่าวว่าบรรยากาศตอนเช้าที่ตนมาวิ่งออกกำลังกายจะเห็นแนวฝุ่นอยู่ตามดอยพอสมควร ซึ่งเมื่อวานนี้ตนอ่านข่าวพบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเผาชีวมวลตามพื้นที่รอบๆ เชียงใหม่ และเนื่องจากเชียงใหม่เป็นหุบเขา ฝุ่นก็เลยสะสมอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลและเป็นมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว แม้ว่าคนกรุงเทพฯ จะเพิ่งตื่นตัวก็ตาม แต่ตนเชื่อว่าคนเชียงใหม่มีความทุกข์กับเรื่องนี้มานานแล้ว
.

นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า การมีอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน รัฐมีหน้าที่ช่วยให้คนมีอากาศที่บริสุทธิ์มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพราะคนตัวเล็กๆ แต่ละคนไม่สามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ขั้นแรกรัฐต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง โดยการติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศอย่างทั่วถึงเพื่อทราบว่าฝุ่น ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร และต้องมีการแจกหน้ากากกันฝุ่นฟรีให้กับประชาชนที่ต้องการ เพราะถ้าประชาชนไม่สบายค่าใช้จ่ายในการรักษาก็ยิ่งสูงและรัฐต้องรับผิดชอบ และรัฐต้องจัดหาเครื่องฟอกอากาศในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน
.

นอกจากนี้จะต้องหาสาเหตุของการเกิดฝุ่นพิษดังกล่าว เช่น การเผาชีวมวล หรือการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซลที่ไม่สมบูรณ์ อนาคตต้องรณรงค์ให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้รถสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาทิ รถพลังงานไฟฟ้า แต่จากการที่ตนดูข้อมูลมาจะพบว่าส่วนใหญ่เป็นการเผาตอซังข้าวโพดที่บุกรุกป่าเข้าไปปลูก ซึ่งบริษัทใหญ่ที่รับซื้อข้าวโพดไปทำอาหารสัตว์ควรจะมาร่วมรับผิดชอบด้วย เช่น การวิจัยพัฒนาทำเครื่องมือที่เอาสิ่งเหลือจากการปลูกเอาไปทำเชื้อเพลิง หรืออัดเป็นถ่าน แต่ต้องลงทุนไม่ใช่ปล่อยเป็นภาระของคนอื่น รวมทั้งค้นคว้าวิจัยอุปกรณ์เก็บตอซังข้าวโพดได้หลังเก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องให้ชาวไร่รับผิดชอบโดยการเผา เนื่องจากเกษตรกรไม่มีทุนในการเก็บ
นายชัชชาติมองว่าเชียงใหม่ หัวใจคือการท่องเที่ยว มีรายได้จากการท่องเที่ยวปีที่แล้วประมาณหนึ่งแสนแปดพันล้านบาท นักท่องเที่ยวมาเชียงใหม่ราวสิบล้านแปดแสนคน เป็นชาวต่างชาติสามล้านสองแสนคน ดังนั้นทั้งหมดจะไปไม่ได้ถ้าคุณภาพชีวิตของเชียงใหม่ไม่ดี สุดท้ายจะไม่ยั่งยืน จึงต้องแก้ปัญหาเรื่องอากาศและการจราจรต่างๆ แต่รัฐบาลจากส่วนกลางจะแก้ปัญหาฝ่ายเดียวไม่ได้เพราะไม่เข้าใจปัญหา ต้องร่วมมือกับท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และรัฐบาลกลางช่วยให้ทรัพยากรและงบประมาณโดยการกระจายอำนาจลงมา
.

















