เปิดประวัติ "เจ้าสัววิชัย" เจ้าของ "คิง เพาเวอร์-เลสเตอร์"

เปิดประวัติ "เจ้าสัววิชัย" เจ้าของ "คิง เพาเวอร์-เลสเตอร์"

      กลายเป็นเรื่องช็อกของวงการลูกหนัง เหตุวานนี้ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เฮลิคอปเตอร์ของ "นายวิชัย ศรีวัฒนประภา" นักธุรกิจเจ้าของกิจการ คิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ประสบอุบัติเหตุตกไฟลุกท่วม บริเวณลานจอดรถใกล้สนามฟุตบอลคิงเพาเวอร์สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ สร้างความตกใจให้กับคนไทยและแฟนฟุตบอลทั่วโลก โดยสื่อต่างประเทศได้รายงานเบื้องต้นถึงสาเหตุการตกว่าใบพัดของเครื่องบินไม่ทำงาน ส่วนความปลอดภัยของ "วิชัย" ยังไม่เป็นที่เปิดเผยออกมา

      "วิชัย ศรีวัฒนประภา" จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาวู้ดลอว์น สหรัฐอเมริกา ก่อนสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนอร์ททอร์ป สหรัฐอเมริกา ชีวิตครอบครัว สมรสกับ "นางเอมอร รักศรีอักษร" มีบุตรทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 

      "วิชัย" มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษผ่านความชื่นชอบกีฬาโปโล โดยปี พ.ศ. 2548 เขากับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์, เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ และอัลดองโฟ แคมเปียโซ มือหนึ่งโปโลชาวอาร์เจนติน จัดทีมออกแข่งขันในรายการ จักรวรรดิคัพ ระหว่างทีมประเทศไทยกับทีมดูไบ ที่ริชมอนด์ในลอนดอน

       ความสำเร็จของ "วิชัย" เขาทำงานด้านธุรกิจหลายอย่างด้วยกัน ทั้งกิจการของตนเองและร่วมบริหาร เช่น บริษัทศรีอักษร (1980) จำกัด, กรรมการบริษัทไทยนิชิกาวา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูโรป้าปริ๊นซ์ จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาวน์ทาวน์ ดี.เอฟ.เอส.(ไทยแลนด์) จำกัด, กรรมการบริษัท ยูโรป้าปริ๊นซ์ (ประเทศไทย) จำกัด 

       ปัจจุบันเขาเป็นนายกสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย, เป็นประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ นอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี โดยเข้าซื้อกิจการในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งช่วงแรกถือหุ้น 51% ก่อนที่ต่อมาในปีเดียวกันได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 100% และในปี พ.ศ. 2554 "วิชัย" ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสโมสรฯ อย่างเต็มตัว

      ส่วนความมั่งคั่งของเขา ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บส์ ระบุว่า ในปี 2560 "นายวิชัย ศรีวัฒนประภา" เป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย โดยมีทรัพย์สินทั้งหมด 4,700 ล้านดอลลาร์ หรือราว 155,000 ล้านบาท