ทางออก "หมู่บ้านป่าแหว่ง" โดยไม่ต้องรื้อให้เสียของ!
"หมู่บ้านป่าแหว่ง" สร้างด้วยเงินนับพันล้าน จะมารื้อให้เป็นป่า คิดได้ไง ลองนึกดูว่าถ้าสำนึกได้ว่าเป็นเงินภาษีของเราท่าน เราควรหาทางออกอื่นนอกจากรื้อไปทำป่า
หมู่บ้านนี้อยู่เชิงดอยสุเทพ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ กว่า 147 ไร่ มีความคืบหน้าไปกว่า ร้อยละ 80 อาคารที่ก่อสร้างประกอบด้วย ที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพักผู้พิพากษา 38 หลัง บ้านพักผู้บริหาร 7 หลัง รวมบ้านพัก 45 หลัง และ อาคารชุด 13 หลัง ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับการพักอาศัยของผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการได้ประมาณ 200 คน ที่ดินผืนนี้เป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงการคลัง อยู่ในความครอบครองใช้ประโยชน์ของกองทัพบกตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2" (http://bit.ly/2FiCCr7)
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ระบุว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตป่าดังที่เข้าใจเพราะเป็นที่ราชพัสดุตามที่ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้ชี้แจงไว้แล้ว โปรดดูตามแผนที่ ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวน อย่างไรก็ตาม สภาพที่ปรากฏอาจ "ขัดสายตา" เนื่องจากที่ผ่านมาคงไมได้ใช้ประโยชน์ ต้นไม้จึงขึ้นรกชัฏเช่นเดียวกับผืนป่า
ภาพที่ 1: ที่ดินก่อนการถากถาง ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2556 (google-earth)
ภาพที่ 2: ที่ดินที่เริ่มมีการถากถาง ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 (google-earth)
ภาพที่ 3: ที่ดินตามสภาพปัจจุบัน ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 (google-earth)
ภาพที่ 4: การตรวจสอบที่ดินเบื้องต้นกับเว็บไซต์ของ DSI
ภาพที่ 5: จุดที่ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินเบื้องต้น
ผลการตรวจสอบเบื้องต้นกับเว็บไซต์ของ DSI http://map.dsi.go.th) พบว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในแนวเขตป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ถาวร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ใดๆ อย่างไรก็ตามข้อมูลในรายละเอียด อาจต้องตรวจสอบกับทางกรมธนารักษ์ การตรวจสอบเบื้องต้นกับเว็บไซต์ DSI นี้ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปในการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนการซื้อขายที่ดินด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ การก่อสร้างด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการตุลาการ 200 คน และหากที่ดินแปลงนี้ต้องซื้อหาด้วย ก็คงเป็นเงินอีก 1,000 ล้านบาทโดยประมาณการในเบื้องต้น ก็เท่ากับข้าราชการส่วนภูมิภาคของศาล 200 คน ใช้เงินเพื่อการนี้ถึงคนละ 10 ล้านบาท
ผลประโยชน์ที่ข้าราชการส่วนภูมิภาคได้รับถึง 10 ล้านบาทต่อคนนี้ นับว่าสูงมาก ถ้านำเงินจำนวนนี้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ณ ดอกเบี้ย 3.5% ก็เป็นเงินถึงเดือนละเกือบ 30,000 บาท การนำเงินไปให้เจ้าหน้าที่ส่วนภูมิภาคเป็นค่าบ้านอีกเดือนละเท่านี้นับว่าสูงกว่าเงินเดือนหรือ เป็นการใช้จ่ายเงินที่คุ้มค่าหรือไม่ นี่ยังไม่รวมค่าดูแลอีกต่างหาก การสร้างด้วยเงินมากมายเพียงนี้สำหรับข้าราชการส่วนภูมิภาคอาจเป็นประเด็นเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ สำหรับส่วนราชการอื่น จึงควรที่จะให้รับข้าราชการในท้องถิ่น เพื่อไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้ ดร.โสภณ เคยเสนอให้เลิกราชการส่วนภูมิภาค http://bit.ly/2b53LRC) โดยระบุว่า
ราชการส่วนภูมิภาค หรือก็คือแขนขาของราชการส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่าง ๆ นั้น มีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมากถึง 360,928 คน ตามข้อมูลคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2557 หรือ 17% ของข้าราชการทั้งหมด แต่ราชการส่วนท้องถิ่น มีกำลังคนเพียง 22% เท่านั้น ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในจังหวัดภูมิภาคหรือในชนบท กลับมีข้าราชการไป "รับใช้ประชาชน" น้อยมาก ที่น่าสังเกตก็คือราชการส่วนกลาง ที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพมหานครมีข้าราชการรวมกันถึง 1,267,609 คนหรือราว 61% ของทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงองคาพยพที่ใหญ่โตมากของระบบราชการที่อาจมีกำลังคนเกินความจำเป็น (นอกจากนั้นข้อมูลข้างต้นยังรวมเฉพาะในส่วนของกำลังคนในฝ่ายพลเรือนเท่านั้น ยังไม่รวมรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการทหารที่มีอีก)
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน (ณ ปี 2558) ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากรรวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆ อย่างค่ารักษาพยาบาล และบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล. . .เมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย รองจากบาร์เรนและมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ประมาณ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%) http://bit.ly/1zgXzfh)
ในอดีตประเทศไทยมีแต่ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจดทะเบียนต่างๆ ก็ต้องไปติดต่อที่อำเภอ หรือจังหวัด แต่ในปัจจุบันเรามีราชการส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าบทบาทของอำเภอหรือจังหวัดมีน้อยลงมาก ยกเว้นอำนาจจากส่วนกลางที่พยายามจะรักษาไว้เพื่อการควบคุมส่วนท้องถิ่น อันที่จริงควรมีการเลือกตั้งนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อการกระจายอำนาจ นี่จึงเป็นการปฏิรูประบบราชการที่แท้ และให้อำนาจตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูจากแนวโน้มประเทศไทยเราคงเดินไปในแนวทางที่จะให้อำนาจข้าราชการประจำมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมท้องถิ่นให้มีอำนาจจริง
ในการส่งเสริมส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดำเนินการได้โดยให้อำนาจส่วนท้องถิ่นในการจัดการศึกษา การดูแลความปลอดภัย การปกครองโดยตรง โดยมีข้าราชการเป็นของตนเอง ไม่สังกัดส่วนกลาง ไทยก็จะมีองคาพยพของระบบราชการที่ไม่อุ้ยอ้าย ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการที่ "เทอะทะ" ตัดวงจรเส้นสายต่าง ๆ ไป ยิ่งกว่านั้นยังควรให้ท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งหรือสรรหา "City Manager" (ผู้จัดการเมือง) "City Appraiser" (ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน) หรือผู้บริหารการศึกษา ผู้จัดการฝ่ายโยธา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา โดยมีข้าราชการประจำคอยปฏิบัติตามนโยบาย ไม่ใช่ให้ข้าราชการประจำที่ควรรับใช้ประชาชนกลับมา "ขี่คอ" และไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้อีกด้วย
สำหรับผู้พิพากษานั้น (กรณีฟลอริดา:http://bit.ly/2c8Dksc) ในกรณีที่ไม่ใช่ศาลปกครอง แต่เป็นศาลแพ่ง ศาลอาญาผู้พิพากษามาจากการเลือกตั้ง และไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติว่าต้องจบกฎหมายเสียด้วย (แต่ผู้สมัครทุกคนก็จบกฎหมาย) ทั้งนี้ยกเว้นศาลปกครอง ซึ่งพิจารณาคดีระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ก็จะมาจากการแต่งตั้ง โดยอำนาจของประธานาธิบดี การมีการเลือกตั้งผู้พิพากษาเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในท้องถิ่น เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ดีกว่าผู้พิพากษาจากส่วนกลางที่ไม่ยึดโยงประชาชนและไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง การเลือกตั้งผู้พิพากษาจึงเหมือนการให้อำนาจ เคารพภูมิปัญญาท้องถิ่น และให้ความสำคัญแก่ท้องถิ่น ผู้นำ ผู้มีอิทธิพลทางความคิดในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ที่สำคัญไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้ข้าราชการกลุ่มนี้
อาจต้องทบทวนนโยบายการสร้างบ้านให้ข้าราชการส่วนภูมิภาคได้แล้ว ควรนำบ้านเหล่านี้ไปให้เอกชนเช่าหรือทำประโยชน์ นำเงินเข้าหลวง เอาเงินให้ข้าราชการส่วนภูมิภาคไปเช่าบ้านในตลาดเอกชน ยังคุ้มกว่าจะสร้างบ้านแบบนี้ให้ แถมต่อไปยังต้องเสียค่าดูแลอีกมหาศาล และต่อไปควรยุบราชการส่วนภูมิภาค และรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่มีบ้านอยู่ใกล้เคียง ไม่ควรเสียค่าก่อสร้างบ้านมหาศาลเช่านี้ ยิ่งกว่านั้นหากสังเกตให้ดี อาคารส่วนราชการใหม่ๆ มีความสวยอลังการกว่าตึกธนาคารชั้นนำเสียอีก ไทยไม่ควรเสียเงินปรนเปรอแก่ข้าราชการขนาดนี้เลย
ถ้าเราประเมินมูลค่า "หมู่บ้านป่าแหว่ง" นี้ ถ้าสิ่งก่อสร้างมีค่า 1,000 ล้านบาท ก็มักต้องสร้างบนที่ดินที่มีมูลค่าเป็น 2 เท่าของสิ่งก่อสร้าง รวมเป็นเงิน 3,000 ล้านบาทนี้ หากนำไปหารายได้ได้ปีละ 3% ตามดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ก็ได้เงินปีละ 90 ล้านบาท ถ้านำไปให้เช่าเป็นบ้านพักผู้สูงวัยให้ชาวต่างประเทศ หรืออื่นๆ และก็ยังจะมีคนดูแลให้อยู่ในสภาพดี เมื่อครบ 50 ปีแล้ว หมดอายุขัยทางเศรษฐกิจแล้ว ค่อยรื้อทิ้งไปทำอย่างอื่น ก็ยังไม่สาย
การคิดด้วยอวิชชาให้รื้อย้ายด้วยความสะใจโดยไม่นึกว่านี่คือสมบัติของแผ่นดิน ถือเป็นการขาดจิตสำนึกของการรักส่วนรวม ไม่ตระหนักถึงเงินที่ประชาชนต้องเสียภาษีมาก่อสร้างแบบนี้ เราควรนำเงินที่ได้ไปเพิ่มพูนป่าในบริเวณอื่น ไม่ใช่มองด้วยสายตาสั้นๆ ที่เห็นแต่ต้นไม้ ต้องเห็นป่าในองค์รวม การมีทรัพยากรเงินเพียงพอ ก็จะช่วยปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า ในทางตรงกันข้ามการมีทรัพยากรคนและเงินจำกัด ก็เท่ากับเราปล่อยปละละเลยให้ทั้งเจ้าหน้าที่ นายทุนและชาวบ้านที่ละโมบโลภหลงแอบไปตัดไม้ทำลายป่านั่นเอง ที่เกิดขึ้นปีละ 1,000,000 ไร่ ก็จะได้ผลดีกว่าการรื้ออาคารและปลูกป่าใหม่บนพื้นที่ 147 ไร่นี้เป็นไหนๆ
ท่านทราบหรือไม่ ค่าใช้จ่ายในการปลูกป่า เป็นเงินถึง 10,450 บาทสำหรับระยะเวลา 12 ปี https://bit.ly/2L4hjLM) ถ้าได้เงิน 90 ล้านบาทจากการให้เช่ามาปลูกป่าบริเวณอื่นจะปลูกได้ถึง 8,612 ไร่ในแต่ละปี หากให้เช่าสัก 50 ปี ก็คงปลูกป่าได้ถึง 430,622 ไร่หรือราว 689 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าจังหวัดนนทบุรีทั้งจังหวัดเลยทีเดียว
โดยสรุปแล้ว กรณีนี้ไม่ได้เห็นแก่เงิน หรือเอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่ถ้าเรามีเงิน มีทรัพยากรมาใช้เพือ่การปลูกป่า หรือจ้างคนมาป้องปรามการบุกรุกทำลายป่า ยังดีกว่าเอาเงิน 1,000 ล้านของการสร้างพักข้าราชการไปทุบทิ้ง ยังมีคนคอยดูแล เรารักป่าต้องเห็นความสำคัญของการมีทรัพยากรมาใช้เพื่อการปลูกป่าและป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ไม่ควรเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่ต้องกลัวว่าข้าราชการตุลาการจะไม่ยอมย้ายหรือย้ายเข้ามาใหม่ในภายหลัง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเคลื่อนไหว จะมีความชอบธรรมกว่าการทุบสมบัติของประชาชน ถ้าเป็นเงินของเรา เราจะยอมทุบหรือไม่ เราต้องหวงแหนทรัพยากรชาติ จึงจะถูก
อย่าให้เสียของ และอย่าได้คิดโอเวอร์กับเรื่องป่าไม้จนเกินงาม
ดูวิดิโอ fb Live คลิก: https://www.facebook.com/dr.sopon4/videos/559063704523446/
ที่มา : http://bit.ly/2OIpbF7
เมื่อเกาะฟูก๊วก กลายเป็น“กำแพงธรรมชาติ” กั้นทางออกสู่ทะเลของประเทศกัมพูชา
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ คำสั่งศาลให้ นักแสดงรุ่นใหญ่ “มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” ผู้จัดดัง เป็นคนไร้ความสามารถ
“เปิดกระเป๋า G-Wallet แล้วตกใจ… ทำไมมี 3 ฟีเจอร์ที่รัฐไม่เคยบอก แต่ใช้แล้วได้ประโยชน์กว่าคนละครึ่ง?”
นิสัยการกินแบบนี้แสดงว่าเริ่มแก่ สัญญาณการกิน ที่บอกว่า “เริ่มแก่
ทำไมเราถึงเรียกเมนูเนื้อย่างแบบหนึ่งว่า "เสือร้องไห้" ทั้งๆ ที่เมนูนี้ทำมาจากเนื้อวัว
"นิทามะ" นายสถานีแมวสุดคิวท์ ของจังหวัดวากายามะ เสียชีวิตแล้ว
"โก๊ะตี๋" ช็อก! "ใบมิ้นต์" ประกาศเลิกทำเอาแฟนๆ งง
ด่วน! นานา เปิดใจ รับตัวเองคือดาราอักษร น. ที่กำลังเป็นข่าว
สูตรคำนวณงวด 1/12/68
จมูกของพระพุทธรูปมีลักษณะคล้ายกับ "น้ำมูกไหล" จากน้ำแข็งย้อยลงมา
ทึ่งทั่วโลก : ตำหนักไท่เหอเตี้ยน จุดที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีทรงถ่ายพระบรมฉายาลักษณ์
"อากังฟู" แห่ง "ไทยเพลย์บอย" สิ้นแล้ว!..ตำนานนิตยสารปลุกใจเสือป่า
ด่วน! นานา เปิดใจ รับตัวเองคือดาราอักษร น. ที่กำลังเป็นข่าว
จมูกของพระพุทธรูปมีลักษณะคล้ายกับ "น้ำมูกไหล" จากน้ำแข็งย้อยลงมา
น้ำป่าทะลักท่วมศาลาวัด ทหารขนโลงศพขึ้นเมรุ ก่อนวันเผาศพ
"อากังฟู" แห่ง "ไทยเพลย์บอย" สิ้นแล้ว!..ตำนานนิตยสารปลุกใจเสือป่า
ชุดแซลมอน Miss Universe เปิดเบื้องหลัง ลีโอนอรา รอดแลนด์ มิสนอร์เวย์ ทำไมถึงเลือกชุดนี้?
ปูการา เด กีตอร์ (Pucará deQuitor) ปราการสุดท้ายแห่งหุบเขาลีปาริตา
เวียดนามเขาเอาจริง อวสานเขมร! เจอ "MARCUS" พิฆาต "ตระกูลฮุน" เผ่นแน่บ-คนลุกฮือไล่รัฐบาลขายชาติ ให้เวียดนาม
ดีไซน์เนอร์กระเป๋าชาวกัมพูชาพร้อมผลิต “กระเป๋าปราสาทเรืองแสง” วางขายทั่วโลก โดยผสานงานช่างฝีมือเข้ากับเอกลักษณ์ความเป็นเขมรอย่างวิจิตร
อนุทิน ตะโกนเฮ้ย ชี้หน้าใส่การ์ด หลังพยายามลากคุณยาย 2 คน ที่นั่งขวางทางเดินนายกฯ
เขมรทำตัวเป็นหมาลอบกัดเลย ทัพภาค 2 แฉ เขมรวางกับสังหารเป็นกลุ่ม 6 ลูก ดักซ้ายขวา หวังเอาชีวิตทหารไทย