ต้นมณีโคตร ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของลาว หรือตำนานของต้นชี้ตายปลายชี้เป็น
“มณีโคตร” แห่งอุษาคเนย์, ผู้เป็นเหมือนรกกำเนิดชีวิตและตำนานแห่งการอยู่ร่วมของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขงมาอย่างยาวนาน ว่ากันว่าไม่เคยมีใครเคยไปถึงต้นมณีโคตร เพราะเบื้องหลังเกาะหินกลางน้ำที่ต้นมณีโคตรขึ้นอยู่ คือหน้าผาที่สายน้ำโขงทั้งสายได้ไหลตกลงไปเบื้องล่างอย่างหนักหน่วงรุนแรงตลอดทั้งปีจนกลายเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนดังนั้น
ผู้ที่อาจเคยผ่านไปใกล้มณีโคตรมากที่สุด ล้วนได้ตายไปในหน้าผาน้ำตกนั้นหมดแล้ว.. มณีโคตร หรือ ต้นแก้วมะนีโคด เป็นชื่อต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่ามีเพียงต้นเดียวในโลก เติบโตท่ามกลางตำนานมากมายอยู่บนแง่หินที่เป็นเหมือนเกาะเล็กๆ ที่กล่าวกันว่าไม่เคยมีผู้ใดไปถึง กลางน้ำตกคอนพระเพ็ง
ซึ่งถือเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและถูกเรียกขานว่าเป็นไนแองการ่าแห่งเอเชีย ด้วยความกว้างกว่า 1 กิโลเมตรและสูงกว่า 15 เมตร กลางแม่น้ำโขง สายน้ำที่ยาวที่สุดในอุษาคเนย์ ทางตอนใต้ของประเทศลาว (Laos) ริมชายแดนกัมพูเจีย ชาวบ้านบางส่วนที่นี่เรียกต้นมณีโคตรแห่งนี้ว่า “ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น”
จากตำนานของลาวที่เล่าขานกันว่า เป็นต้นไม้วิเศษ หากปลายชี้ไปทางไหนก็จะมีแต่ความเจริญ โดยมณีโคตรมีปลายอยู่สามกิ่ง กิ่งหนึ่งชี้ไปทางแผ่นดินกัมพูชา กิ่งหนึ่งชี้มาทางแผ่นดินลาว และปลายที่ใหญ่ที่สุดชี้มาทางแผ่นดินไทย ว่ากันอีกว่า การที่มีอุณหภูมิ ความชื้นและระบบนิเวศที่เหมาะสมเฉพาะ ทำให้เกิดต้นไม้ชนิดนี้เพียงต้นเดียว..
“มณีโคตร” เป็นต้นไม้ใหญ่เกิดอยู่กลางน้ำ ซึ่งไหลต่อลงมาบนน้ำตก “พระเพ็ง” ขึ้นอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไทร 2 ต้น ลักษณะของกิ่งและใบไม่ดกหนานัก แต่ที่ประหลาดพิสดารที่สุดก็คือ แทนที่ต้นมณีโคตรจะตั้งอยู่ตามธรรมชาติเหมือนต้นไม้ทั่วไปที่เติบโตพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แต่กลับแหวกกฏธรรมชาติโดยปล่อยให้รากแก้ว รากฝอยพุ่งขึ้นไปในอากาศ และให้กิ่งก้านสาขาหยั่งลงบนพี้นน้ำแทน โดยยังเจริญงอกงามอยู่ได้ไม่เฉาตาย
มีตำนานเล่าขานจากคนแก่คนเฒ่าว่า แต่เดิมต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้มีความประหลาดพิสดารแบบนี้แต่อย่างใด ทว่า คราวหนึ่งมีสามเณรน้อยผู้เคร่งครัดรูปหนึ่งได้ขึ้นไปนั่งจำศีลบำเพ็ญภาวนาอยู่ใต้ต้นไม้นี้ ซึ่งยังมีลักษณะปกติอยู่ ตกเช้าก็ออกบิณฑบาตไปตามป่าเขา แม้บริเวณนั้นไม่มีผู้คนอยู่เลยแต่มีสามเณรก็มีอาหารเต็มบาตรทุกเช้า ว่ากันว่าทสามเณรได้บิณฑบาตมาจาก “ผีบังบด” ซึ่งเป็นภูตชนิดหนึ่งที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี
ต่อมาวันหนึ่งสามเณรท่านนี้ก็ได้เดินลุยน้ำเข้าไปในโพรงใต้ต้นไม้หายไปแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย รุ่งขึ้นอีกวันต้นไม้นั้นก็มีอันผิดกฏธรรมชาติ และคงอยู่ในลักษณะนั้นตลอดมา ในสมัยสงครามล่าอาณานิคม ฝรั่งเศสเคยคิดจะระเบิดแก่งคอนพระเพ็งแห่งนี้เพื่อให้เรือผ่านขึ้นไปถึงเวียงจันท์ได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จึงได้สร้างทางรถไฟขนถ่ายสินค้าและสิ่งของผ่านดอนคอน ไปลงท่าเรือที่ดอนเดช ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทางรถห้าแถวบรรทุกนักท่องเที่ยวไปชมน้ำตกหลี่ผี
ความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวลาวยังมีเรื่องเล่าขานกันอีกว่า ฝรั่งเศสเคยเอาเรือมาฉุดเพื่อโค่นให้ต้นไม้มณีโคตรนี้ล้ม และเพื่อทำลายความเชื่อภูตผีและตำนานของคนลาว แต่ก็ทำไม่สำเร็จ บางคนเล่าว่า ทหารที่โรยตัวลงจากเฮลิคอปเตอร์ทั้งจากฝรั่งเศสและรัสเซียที่ต้องการพิสูจน์เรื่องเหล่านี้
ล้วนพลัดตกลงไปตายกลางน้ำตก ไม่มีใครสามารถลงไปเหยียบเกาะหินเล็กๆ ที่เป็นที่ตั้งของต้นมณีโคตรได้เลย รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งของฝรั่งเศสที่บินไปใกล้ๆ ก็ตกลงอย่างไม่รู้สาเหตุด้วยเช่นกัน เรื่อง มณีโคตร นั้นเล่าขานกันมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวลาวและชาวลาวอิสานด้านติดชายแดนอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยเฉพาะคราวหนึ่งเมื่อ 60-70 ปีก่อน มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้ธุดงค์โปรดสัตว์อยู่แถบนี้ ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปที่ใดก็มักจะกล่าวกับผู้คนที่พบพานอยู่เสมอว่า “ผู้ใดไปถึงหลี่ผี หากเป็นผู้ไม่มีบุญบารมีแล้วอย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นต้นมณีโคตร”..
ผู้คนจึงหลั่งไหลมาเพื่อพบเห็นต้นมณีโคตรในที่สุด ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ต้นไม้ต้นนี้ขึ้นอยู่กลางน้ำใหญ่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว นอกจากนี้ยังมีตำนานโบราณของลาวเล่าตำนานของมณีโคตร มาจากเรื่อง รามายณะ อีกว่า “ทศเศียรได้มาต่อสู่กับพระลักพระลามที่น้ำของ ทหารของทศเศียรโดนหุลละมานฆ่าตายถึง ๔,๐๐๐ ตน นอนตายกลางน้ำของกลายเป็นเกาะเรียกว่า สี่พันดอน เมื่อฆ่ายักษ์เสร็จจึงหักเอากิ่งไม้มณีโคตรมาช่วยรักษาชีวิตฝ่ายตน
โดยไม้มณีโคตรมีสองกิ่ง คือกิ่งทางทิศตะวันออกชี้เป็น คือ ชี้คนตายให้ฟื้นได้ ส่วนกิ่งทางทิศตะวันตกชี้ตาย คือ ชี้คนให้ตายได้ จึงทำให้ฝ่ายพระลักพระลามมีชัยชนะ” ต้นมณีโคตร มี ๓ กิ่งคือ กิ่งที่ชี้ไปทิศเหนือ ใครกินผลไม้ทิศนี้จะกลายเป็นนกยาง กิ่งที่ชี้ไปทิศใต้ ใครกินผลไม้ทิศนี้จะกลายเป็นลิงและกิ่งที่ชี้ไปทิศตะวันออก
ใครกินผลไม้ทิศนี้จะกลับเป็นหนุ่มสาว มีพละกำลังมาก “เมื่อนางสีดาจันทะแจ่มถูกท้าวฮาพนาสวร(ทัศกัณฐ์) ลักไปอยู่เมืองลังกา พระลามพระลักได้ติดตามนางสีดาจันทะแจ่ม เดินทางจนเหนื่อยอ่อนมาพักอยู่ที่ใต้ต้นมณีโคตรซึ่งกำลังออกผลสุกสะพรั่งอยู่เต็มต้น พระลักไปเก็บผลกิ่งด้านทิศตะวันออกรับประทานจึงมีรูปโฉมสวยงามกว่าเดิม ส่วนพระลามไปเก็บผลกิ่งด้านทิศใต้จึงกลายร่างเป็นลิงเผือกขนาดใหญ่ พระลักเมื่อเห็นพระลามกลายร่างเป็นลิงเผือก ก็ล่อหลอกให้พระลามไปกินผลมณีโคตรกิ่งทิศตะวันออก แต่ไม่สามารถสื่อสารกับลิงพระลามได้
พระลักจึงนั่นเฝ้าลิงพระลามอยู่วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่ากล่าวถึงฤาษีอาคมกล้าได้นางจันทะแจ่มอินทาเป็นภรรยา แต่พระอาทิตย์ลอบเป็นชู้จนได้ลูก ๒ คนคือ สังคีป(สุครีพ) และพะลีจันทร์(พาลี) ส่วนนางแก้วแพงศรีเป็นลูกที่เกิดแต่ฤาษี ฤาษีรักบุตรชายทั้งสองมาก สอนวิทยาให้ทุกอย่าง วันหนึ่งเกิดสงสัยในรูปร่างหน้าตาจึงเอาลูกทั้ง ๓ ไปเสี่ยงน้ำ ถ้าเป็นลูกตนให้ว่ายน้ำกลับมาได้ ก็มีนางแก้วแพงศรีคนเดียวฤาษีกลับบ้านพร้อมนางแก้วแพงศรี นางจันทะแจ่มอินทาไม่เห็นบุตรชายจึงถามนางแก้วแพงศรี นางแก้วแพงศรีจึงเล่าเรื่องเสี่ยงโยนน้ำให้ฟัง
นางโกรธมากจึงจับนางแก้วแพงศรีเวี่ยงไปจนตกภูเขาลูกหนึ่ง นางเดินทางหลงป่ามาจนถึงต้นมณีโคตรจึงเก็บผลทางทิศใต้กิน กลายร่างเป็นลิงเผือกและได้สมสู่กับลิงพระลาม ออกลูกมาเป็น “หุลละมาน”(หนุมาน)ทางพระลักล่อหลอกให้ลิงพระลามและสิงนางแก้วแพงศรีกินผลมณีโคตรทิศตะวันออกจึงกลายร่างเป็นมนุษย์ตามเดิม แต่หุลละมานกินเท่าไรก็ไม่กลายร่างเป็นคน
เพราะเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน” รามายณะ เป็นวรรณคดีมหากาพย์ของที่เชื่อว่าเป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานในหลากหลายพื้นที่ของชมพูทวีป แต่ผู้ได้รวบรวมแต่งให้เป็นระเบียบครั้งแรกคือฤาษีวาลมีกิ เมื่อกว่า 2,400 ปีมาแล้ว โดยประพันธ์ไว้เป็นบทร้อยกรองประเภทฉันท์ภาษาสันสกฤต เรียกว่าโศลก จำนวน 24,000 โศลกด้วยกัน โดยแบ่งเป็น 7 ภาค (กาณฑ์ หรือ กัณฑ์) เมื่อแพร่หลายในหมู่ชาวไทย คนไทยได้นำมาแต่งใหม่ก็เรียกว่ารามเกียรติ์ ซึ่งมีหลายฉบับด้วยกัน ส่วนในหมู่ชาวลาวนั้น เรียกว่า พะลักพะลาม (พระลักษมณ์พระราม) มาจนถึงบัดนี้
มณีโคตรได้จากอุษาคเนย์ไปแล้ว ภายหลังจากที่ได้ยืนต้นตายมากว่า 3 ปี รัฐบาลลาวได้พยายามหลายครั้งที่จะไปกอบกู้เอาต้นมณีโคตรมาเก็บไว้ที่พิพิภัณฑ์เมืองโขง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ก่อนหน้านี้ทางการลาวได้ใช้เฮลิคอปเตอร์หย่อนคนลงมา เพื่อนำเชือกมามัดต้นไม้ไว้กับแก่งหินเพื่อไม่ให้ลอยหายไป แต่ไม่สามารถนำต้นขึ้นมาบนฝั่งได้เนื่องจากต้นไม้มีขนาดใหญ่และกระแสน้ำรุนแรง จนเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2556 ที่ผ่านมานี้ ทางการลาวได้ปฏิบัติ ภารกิจนี้จนสำเร็จ โดยมีประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก, โดยทหารต้องใช้เวลาทั้งวันตั้งแต่เช้าถึง 5 โมงเย็น เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญครั้งนี้ โดยนำเฮลิคอปเตอร์ทางทหารของลาวนำเจ้าหน้าที่หย่อนลงไป 2-4 คนเพื่อช่วยกันนำเอาต้น “มณีโคตร” ขึ้นมาจนได้ ท่ามกลางพลังแรงดันน้ำมหาศาลที่กดอากาศแปรปรวนในพื้นที่ดังกล่าว ปัจจุบัน รัฐบาลลาวได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิภัณฑ์เมืองโขง เพื่อให้ประชาชนศึกษาต่อไป
ที่มา เพจสบายดีปากเซ

















