โหด!! สาวไทยไปอยู่ญี่ปุ่น แล้วถูกแฟนทำร้าย ซี่โครง บอบช้ำทั้งตัว

เลยตัดสินใจไปแจ้งความ

สถานีตำรวจที่ญี่ปุ่นจะมีป้อมเล็กๆ เวลากลางคืนจะไม่มีใครอยู่ แต่จะมีโทรศัพท์เครื่องเล็กๆตั้งอยู่ ถ้ามีเรื่องให้กด 500 และถ้ามีเรื่องร้ายแรงด่วนฉุกเฉินให้กด110

ตำรวจที่รับสายก็จะถามรายละเอียดแล้วให้เรานั่งรอ เดี๋ยวจะมีตำรวจมารับ ทีแรกคิดว่าเรื่องผัวเมียตีกันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่

ปรากฏว่าตำรวจมากันห้าหกคน 
พาเราขึ้นรถไปสถานนีใหญ่เพื่อสอบปากคำ
ไปถึงจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องDV โดยเฉพาะมาคุยก่อน หลังจากนั้นตำรวจหญิงก็จะขอเข้ามาถ่ายรูปที่บาดเจ็บเป็นแผล

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สอบปากคำก็จะเข้ามาซักแบบละเอียดยิบเลย

สุดท้ายเจ้าหน้าที่DV ก็จะมาคุยอีกรอบ มีเอกสารมาให้ดูว่าในกรณีDVแล้ว ตำรวจจะทำอะไรให้คุณได้บ้าง ฟ้อง ขึ้นศาล ขอความคุ้มครอง ให้ย้ายบ้านหรือบายไปอยู่บ้านพักหญิงที่ถูกทำร้าย

ถ้าเราไม่ได้อยากเอาเรื่องแค่อยากลงบันทึกประจำวัน เจ้าหน้าที่จะให้เขียนคงามสมัครใจมี่จะไม่ฟ้อง ไม่หนี ไม่ย้าย ไม่คุ้มครอง เซ็นชื่อเป็นอันจบ

แต่ที่น่าทึ่งคือตำรวจโกรธกว่าเหยี่ออีกค่ะ ทุกคนบอกว่าแบบนี้มันไม่ใช่คนแล้ว จำหน้าเดิมไม่ได้เลย 555

ผุ้ดูแลเรื่องDV อธิบายว่ามันเหมือนเป็นวงจรอุบาทว์ 
เช่นสามีไปทำงาน มีเรื่องแย่ๆ เก็บกด พอเก็บกดมากๆก็จะมาลงกับคนใกล้ตัวที่บ้าน เพราะฉะนั้นคนแบบนี้จะไม่มีวันหาย หรือถึงมีก็น้อยมาก

ทางตำรวจอยากจับกุมเลย หรืออย่างน้อยก็อยากจะให้ลี้ภัยไปบ้านพักฉุกเฉินก่อนแต่ยังอยากให้โอกาสอีกซักนิดเลยขอดูก่อนหนึ่งเดือนถ้ามีอะไรอีกคราวนี้จะให้จับเลย

ทางตำรวจยังให้เบอร์ฉุกเฉินและเบอร์สายตรงพร้อมคำแนะนำมาด้วย ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้รีบหนีเลย แล้วค่อยแจ้งตำรวจ

สรุปสุดท้ายของเรื่องนี้คือเราแอบออกไปแจ้งความลงบันทึกตอนตีสี่ เช้าวันนี้แฟนกลับมาบ้านตั้งแต่เที่ยงแล้วบอกว่าเค้าจะลาออกจากงานตั้งแต่สิ้นเดือนหน้าเป็นต้นไป เพราะแฟนสำคัญกว่าเพื่อนก๊งเหล้าแน่ๆอยู่แล้ว

จริงๆแล้วตำรวจทุกคนพยายามโน้นน้าวให้จับหรือให้หนีไปบ้านพักสำหรับผู้หญิงที่ถูกทำร้าย คุณตำรวจบอกเลยว่าทนไปเรื่อยๆเธอถูกฆ่าตายแน่ๆ

เรื่องผัวเมียตีกันไม่ใช่เรื่องเล็กที่คนนอกไม่ควรยุ่ง ถ้าจ่าเอาไปเล่าต่อแล้วอาจจะพอช่วยผู้หญิงที่ถูกทำร้ายได้จะดีใจมากๆเลยค่ะ

ปล.จริงๆแล้วแฟนเราก็เจ็บปวดไม่แพ้กันค่ะ ตอนที่ตั้งสติได้แล้วเห็นหน้าเห็นเลือดกำเดาไหล เค้าร้องให้ตีอกชกหัวตัวเองแบบคุมตัวเองไม่ได้เลย งานที่หนักเกินไป สังคมที่ต้องใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาเป็นชนวนให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้

ช่วยกันดูแลทุกคนรอบตัวนะคะ 
ปัญหานี้จะได้ลดลง