ศาสตร์ของนินจา คือมรดกทางภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นในยุคโบราณ ซึ่งในภาพยนตร์ นวนิยาย และการ์ตูน ได้แพร่หลายไปทั่วโลกมานานหลายทศวรรษ ทำให้ภาพลักษณ์ของนินจามีความพิสดาร ลี้ลับ และดูอัศจรรย์เหนือจริงขึ้นไปอีกมาก ในแง่มุมทางประวัติศาสตร์ นินจา ก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่ามีจริงแท้แค่ไหน
นินจา หรือ ชิโนบิ คือกลุ่มคนที่ทำงานอยู่ในเงามืดของสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสมัยสงครามระหว่างแคว้น เรื่องราวของพวกเขามีบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ ทั้งแบบทางการ เอกสารของโชกุน ตระกูลซามูไรต่างๆ อีกทั้งวิชานินจา หรือ นินจิตสึ ก็ยังคงมีตกทอดต่อมาในยุคปัจจุบันด้วย
เพียงแต่ วิชานินจาที่ได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์หรือการ์ตูน จนดูเหมือนจริงและติดตราตรึงใจต่อคนทั่วโลกนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ได้เสริมแต่งเข้าไปอยู่มาก เพราะแท้จริงแล้ว วิชานินจานับเป็นศาสตร์ของ การจารชน แทรกซึม สืบหาข่าว ลอบสังหาร และอื่นๆ ก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่า มีตัวในแง่ของการใช้งานจริง
ในประเทศญี่ปุ่นเวลานี้ ยังคงมีสำนักที่ฝึกฝนวิชา และศาสตร์การต่อสู้โบราณอยู่หลายแขนง วิชานินจาที่สืบทอดกันมานานของอิงะและโคงะที่โด่งดังนั้นก็ยังคงมีปรากฏอยู่ คนที่โด่งดังและได้รับการยอมรับที่สุดก็คือ จินอิจิ คาวาคามิ หัวหน้านินจาโคงะรุ่นที่ 21 ซึ่งสืบทอดตำแหน่งมาเป็นเวลาหลายปี ปัจจุบันยังเป็นผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์นินจาอิงะ และได้รับการยอมรับในทางวิชาการ เมื่อได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์จากผลงานการค้นคว้าวิจัยเรื่องของนินจิตสึ โดยมหาวิทยาลัยมิเอะในภูมิภาคคันไซ
นินจา หรือ ชิโนบิ คือกลุ่มคนที่ทำงานอยู่ในเงามืดของสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสมัยสงครามระหว่างแคว้น เรื่องราวของพวกเขามีบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ ทั้งแบบทางการ เอกสารของโชกุน ตระกูลซามูไรต่างๆ อีกทั้งวิชานินจา หรือ นินจิตสึ ก็ยังคงมีตกทอดต่อมาในยุคปัจจุบันด้วย
เพียงแต่ วิชานินจาที่ได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์หรือการ์ตูน จนดูเหมือนจริงและติดตราตรึงใจต่อคนทั่วโลกนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ได้เสริมแต่งเข้าไปอยู่มาก เพราะแท้จริงแล้ว วิชานินจานับเป็นศาสตร์ของ การจารชน แทรกซึม สืบหาข่าว ลอบสังหาร และอื่นๆ ก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่า มีตัวในแง่ของการใช้งานจริง
ในประเทศญี่ปุ่นเวลานี้ ยังคงมีสำนักที่ฝึกฝนวิชา และศาสตร์การต่อสู้โบราณอยู่หลายแขนง วิชานินจาที่สืบทอดกันมานานของอิงะและโคงะที่โด่งดังนั้นก็ยังคงมีปรากฏอยู่ คนที่โด่งดังและได้รับการยอมรับที่สุดก็คือ จินอิจิ คาวาคามิ หัวหน้านินจาโคงะรุ่นที่ 21 ซึ่งสืบทอดตำแหน่งมาเป็นเวลาหลายปี ปัจจุบันยังเป็นผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์นินจาอิงะ และได้รับการยอมรับในทางวิชาการ เมื่อได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์จากผลงานการค้นคว้าวิจัยเรื่องของนินจิตสึ โดยมหาวิทยาลัยมิเอะในภูมิภาคคันไซ
ที่จริงแล้ว คาวาคามิไม่ได้เป็นทายาทของตระกูลนินจา เขามีอาชีพเป็นวิศวกร เก่งการคำนวณ เมื่อวัยหนุ่มก็ทำงานเป็นพนักงานประจำที่พบเห็นได้ปกติในญี่ปุ่น แต่ด้วยโชคชะตาบางอย่าง ทำให้เมื่อวัยเด็ก เขาได้โอกาสร่ำเรียนวิชานินจามาจาก อิชิดะ มาซาโสะ นักบวช และหมอยาแผนโบราณ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดวิชานินจาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเขายืนยันว่า วิชานินจาที่เขาฝึกนั้น คือศาสตร์ที่เป็น “ของแท้” ไม่ได้เป็นการแสดงมายากล หรือการแสดงโชว์นินจาแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป
คาวาคามิ เริ่มฝึกวิชานินจาอย่างจริงจังตั้งแต่เด็ก ศาสตร์ที่เขาร่ำเรียนมีทั้งวิชาการไต่กำแพง การใช้อาวุธ การกระโดดจากที่สูง วิชาต่อสู้มือเปล่า ไปจนถึงความรู้ด้านเคมี ทำให้เขาสามารถผสมระเบิดควันใช้เองได้ เมื่ออายุได้ 19 ปี เขารับสืบทอดคัมภีร์ลับของโคงะ รวมถึงอุปกรณ์พิเศษของนินจาทั้งหมด
เขาเริ่มเปิดสำนักสอนวิชานินจาอย่างเป็นทางการในช่วงปี ค.ศ. 2003 เขามีศิษย์เอกคือ คิโยโมโตะ ยาสึชิ ซึ่งประสบความสำเร็จมากในการเปิดสาขาของสำนักออกไป ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรป ตัวของยาสึชิยังได้เปิดรับศิษย์อีกจำนวนมาก ทำให้วิชานินจาโคงะแพร่หลายออกไป ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำผ่านสื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ทั้งสองยังร่วมกันพิมพ์หนังสือเป็นภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะหนังสือที่ได้ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2008 ชื่อว่า "A Story of Life, Fate and Finding the Lost Art of Koga Ninjutsu in Japan" พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ยังช่วยแก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิชานินจาที่ชาวต่างชาติมักเข้าใจผ่านทางภาพยนตร์ด้วยว่า ไม่ได้เป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นทักษะความสามารถของมนุษย์ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ถ้าผ่านการฝึกฝนอย่างยาวนานและถูกต้อง
แต่หลังจากประสบความสำเร็จในการเผยแพร่วิชานินจาโคงะออกสู่โลกกว้าง คาวาคามิก็ประกาศไม่รับศิษย์อีก และประกาศว่า “เขาจะไม่หาผู้สืบทอด หรือแต่งตั้งใครเป็นผู้นำรุ่นที่ 22” ประวัติศาสตร์นินจาโคงะ จะจบลงที่รุ่นของเขา
สาเหตุที่เขาประกาศสิ้นสุดการสืบทอดวิชานินจานั้น ในปี ค.ศ. 2012 เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC โดยชี้แจงเหตุผลว่า เพราะวิชานินจาคือ ศาสตร์ของทำจารกรรม ลอบสังหาร การผสมยา การสอดแนม การไต่กำแพง การพรางตัว ฯลฯ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นความรู้ที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ แต่ในยุคปัจจุบัน เรามีอาวุธปืนที่ทรงอานุภาพมาก มีอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยไม่ต้องลักลอบไปแอบฟัง ดังนั้นวิชานินจาจึงไม่เหมาะกับโลกยุคปัจจุบันอีกแล้ว
ในทัศนะของคาวาคามิ ซึ่งหากพิจารณาจากบทบาทที่เขาเองก็เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์นินจาด้วย จึงอาจเห็นว่า วิชานินจาต่อจากนี้ สมควรให้อยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์ หรือเป็นแค่แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ หรืออย่างมากที่สุดคือ เป็นกีฬาประเภทหนึ่งเท่านั้น
ในปัจจุบัน เรื่องของการฝึกวิชานินจาในแง่การใช้งานจริง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนักกีฬา Extreme ที่ผู้ฝึกฝนทักษะให้ใกล้เคียงกับนินจา ทั้งการวิ่ง กระโดด ไต่กำแพง โหนเชือก พากันเรียกตัวเองว่า Ninja Warrior ซึ่งเกมกีฬาผาดโผนนี้ได้รับความสนใจ เล่นกันในอเมริกาและยุโรปหลายประเทศ นินจายุคใหม่จึงเป็นเสมือนเกมกีฬา และรายการโชว์ประเภทหนึ่งไป
ทุกวันนี้หากพูดกันว่า ใครคือ นินจาคนสุดท้าย ชื่อของ จินอิจิ คาวาคามิ จึงได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ เขาเคยกล่าวว่า ที่จริงก็มีคนอื่นพยายามฝึกฝนวิชานินจาที่ไม่ใช่ในแง่ของกีฬาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมีใครที่ได้รับการฝึกฝนในศาสตร์ของนินจา เพื่อการใช้งานจริงมาแบบเขาอีกแล้ว เขาจึงกลายเป็นนินจาคนสุดท้าย หากว่าเขายังคงยืนยันคำเดิมที่จะไม่หาผู้สืบทอดศาสตร์ของนินจาทั้งหมดต่อไปตามที่เคยลั่นวาจาไว้