ศัลยกรรมเกาหลีเปลี่ยนชีวิต หน้าใหม่ โครงหน้าดี อะไรก็ดี ดีต่อใจจนอยากบอกต่อ!!!
โพสท์โดย berybad
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ภารกิจในการทำหน้าก็เกิดขึ้น เราเริ่มรักษาผิวหน้าโดยการปรึกษาคุณหมอ ทานยา ทำทรีทเมนท์ เลเซอร์ มาส์กหน้า อะไรที่หมอว่าดี เบียร์ก็ว่าดี หมอให้ทำอะไรก็ทำเลย จัดคอร์สมาเลย เบียร์พร้อม ขอเพียงให้ผิวดีขึ้น ยอมทุกอย่าง แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องของผิวนี่เป็นอะไรที่ใช้เวลาและความสม่ำเสมอมากๆเลยนะ มันจะไม่ได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด มันจะค่อยๆเห็นผล ซึ่งตรงนี้ต้องใจเย็นๆ นอกจากนี้ก็เริ่มลดน้ำหนัก เข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ในที่สุดผลจากการออกกำลังกายและควบคุมอาหารก็เป็นผล น้ำหนักลง แต่….หน้าไม่ลงงี้!!!! ยังบานเหมือนเดิม เหนียงงี้อยู่เต็มคอเลย เอาไงดีๆๆ จะยอมรับสภาพนี้หรือว่าทำให้มันสุดไปเลยดี
“แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าทำเลย ลดความอ้วนต่อ เดี๋ยวก็หล่อขึ้น” ความคิดแว๊บเข้ามาในหัว
“ลดแล้วโว้ยยยย หน้าไม่ลง ลงแต่ตัว” เราเถียงตัวเอง
“อย่าทำเลย เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเป็นอีหน้าพลาสติกนะ” ความคิดนี้แว๊บเข้ามาในหัว ซึ่งสตั๊นท์เรามาก จะไม่ทำต่อเพราะอีความคิดนี้แหละ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าทำจมูกเป็นเรื่องปกติใครๆก็ทำกัน แต่โครงหน้านี่เรื่องใหญ่เลยนะ ถ้าทำไปคนอื่นจะเรียกเราว่าอีหน้าพลาสติกรึป่าว
“ไม่ทันละ ทำจมูกไปและ ไม่ว่าจะทำโครงหน้าหรือไม่ทำโครงหน้า ก็กลายเป็นอีหน้าพลาสติกอยู่ดี” Win!!!! ความคิดนี้ชนะ ถ้าคนจะด่ายังไงมันก็ด่าเนาะ ช่างมัน ทำโลด หน้าเรา เงินเรา เราจะไปสนใจคนอื่นทำไม
หลังจากนั้นเราก็หาข้อมูลเลย จริงจังกว่าตอนทำจมูกหลายเท่า เพราะนี่โครงหน้าเลยนะ ดูเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ มันไม่ได้ซ่อมง่ายๆเหมือนจมูกนะ ตัดสินใจดีดี (ซึ่งเอาจริงๆจมูกก็ซ่อมไม่ง่าย)
สรุปรายการผ่าตัดของเราในครั้งนี้ประกอบไปด้วย
- ตัดโหนกแก้ม ให้เล็กลงนิดหน่อยให้ได้สัดส่วนสมมาตร และใช้ไทเทเนียมยึดไว้ ในการตัดกระดูกโหนกแก้มด้านข้างจะมีแผลผ่าตัดประมาณ 1 cm. ที่ไรผมข้างหู ส่วนกระดูกโหนกแก้มด้าน 45 องศา จะมีแผลในปากด้านบน
- ทำวีไลน์ ตัดกรามให้เล็กลง หมอจะตัดกระดูกส่วนที่อยู่ใต้เส้นประสาทลงมา (ในการผ่าตัดแต่ละอย่าง แต่ละเคส จะมีข้อจำกัดนะครับ) และตัดกระดูกคางให้เล็กลงเล็กน้อย พร้อมกับเลื่อนคางมาด้านหน้า โดยใช้ไทเทเนียมยึดไว้ จะมีแผลในปากด้านล่าง เป็นแบบกรีดยาว
- ตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- Accu lift ใช้เลเซอร์สลายไขมันที่เหนียง และบริเวณกรอบหน้าด้านล่าง และดูดออก มีแผล 2 จุดเล็กๆ ใต้ติ่งหู ไม่ต้องตัดไหม
และแล้วก็มาถึงวันผ่าตัด วันนั้นคือวันที่ 6 กรกฎาคม 2016 เรามาถึงโรงพยาบาลแต่เช้า เนื่องจากเรามีคิวผ่าตัดเช้า อีกอย่างเราตื่นเต้นด้วยแหละ ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่ทำการผ่าตัดโดยการวางยาสลบ (ต้องอดน้ำและอาหารก่อนเข้าห้องผ่าตัด 8 ชั่วโมง) แต่เรารู้สึกว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่สุดในชีวิตเราเลยนะ (เอาจริงๆใครไม่ตื่นเต้นบ้าง ถามจริง) มาถึงก็มาอ่านและเซ็นเอกสารยินยอมทำการผ่าตัด และเจอคุณหมออีกรอบเพื่อสรุปและดีไซน์โครงหน้ากัน เหมือนที่เราบอกไปด้านต้นว่า การสื่อสารระหว่างเรากับหมอเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรู้ว่าเราอยากให้ตัวเราออกมาเป็นแบบไหนยังไง มี Reference มาให้หมอดู เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกันมากที่สุด ยิ่งหมอเข้าใจเรามากเท่าไหร่ ผลการผ่าตัดก็จะออกมาใกล้เคียงความต้องการของเรามากเท่านั้น
“คุณต้องสัญญากับหมอนะว่าหลังผ่าตัด คุณต้องช่วยหมอด้วย คุณต้องลดน้ำหนักนะ ผลการผ่าตัดจะได้เห็นชัดเจนมากขึ้น” หมอกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด
และนี่คือสภาพตอนเพิ่งฟื้น
“แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าทำเลย ลดความอ้วนต่อ เดี๋ยวก็หล่อขึ้น” ความคิดแว๊บเข้ามาในหัว
“ลดแล้วโว้ยยยย หน้าไม่ลง ลงแต่ตัว” เราเถียงตัวเอง
“อย่าทำเลย เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเป็นอีหน้าพลาสติกนะ” ความคิดนี้แว๊บเข้ามาในหัว ซึ่งสตั๊นท์เรามาก จะไม่ทำต่อเพราะอีความคิดนี้แหละ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าทำจมูกเป็นเรื่องปกติใครๆก็ทำกัน แต่โครงหน้านี่เรื่องใหญ่เลยนะ ถ้าทำไปคนอื่นจะเรียกเราว่าอีหน้าพลาสติกรึป่าว
“ไม่ทันละ ทำจมูกไปและ ไม่ว่าจะทำโครงหน้าหรือไม่ทำโครงหน้า ก็กลายเป็นอีหน้าพลาสติกอยู่ดี” Win!!!! ความคิดนี้ชนะ ถ้าคนจะด่ายังไงมันก็ด่าเนาะ ช่างมัน ทำโลด หน้าเรา เงินเรา เราจะไปสนใจคนอื่นทำไม
หลังจากนั้นเราก็หาข้อมูลเลย จริงจังกว่าตอนทำจมูกหลายเท่า เพราะนี่โครงหน้าเลยนะ ดูเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ มันไม่ได้ซ่อมง่ายๆเหมือนจมูกนะ ตัดสินใจดีดี (ซึ่งเอาจริงๆจมูกก็ซ่อมไม่ง่าย)
สรุปรายการผ่าตัดของเราในครั้งนี้ประกอบไปด้วย
- ตัดโหนกแก้ม ให้เล็กลงนิดหน่อยให้ได้สัดส่วนสมมาตร และใช้ไทเทเนียมยึดไว้ ในการตัดกระดูกโหนกแก้มด้านข้างจะมีแผลผ่าตัดประมาณ 1 cm. ที่ไรผมข้างหู ส่วนกระดูกโหนกแก้มด้าน 45 องศา จะมีแผลในปากด้านบน
- ทำวีไลน์ ตัดกรามให้เล็กลง หมอจะตัดกระดูกส่วนที่อยู่ใต้เส้นประสาทลงมา (ในการผ่าตัดแต่ละอย่าง แต่ละเคส จะมีข้อจำกัดนะครับ) และตัดกระดูกคางให้เล็กลงเล็กน้อย พร้อมกับเลื่อนคางมาด้านหน้า โดยใช้ไทเทเนียมยึดไว้ จะมีแผลในปากด้านล่าง เป็นแบบกรีดยาว
- ตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- Accu lift ใช้เลเซอร์สลายไขมันที่เหนียง และบริเวณกรอบหน้าด้านล่าง และดูดออก มีแผล 2 จุดเล็กๆ ใต้ติ่งหู ไม่ต้องตัดไหม
และแล้วก็มาถึงวันผ่าตัด วันนั้นคือวันที่ 6 กรกฎาคม 2016 เรามาถึงโรงพยาบาลแต่เช้า เนื่องจากเรามีคิวผ่าตัดเช้า อีกอย่างเราตื่นเต้นด้วยแหละ ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่ทำการผ่าตัดโดยการวางยาสลบ (ต้องอดน้ำและอาหารก่อนเข้าห้องผ่าตัด 8 ชั่วโมง) แต่เรารู้สึกว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่สุดในชีวิตเราเลยนะ (เอาจริงๆใครไม่ตื่นเต้นบ้าง ถามจริง) มาถึงก็มาอ่านและเซ็นเอกสารยินยอมทำการผ่าตัด และเจอคุณหมออีกรอบเพื่อสรุปและดีไซน์โครงหน้ากัน เหมือนที่เราบอกไปด้านต้นว่า การสื่อสารระหว่างเรากับหมอเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรู้ว่าเราอยากให้ตัวเราออกมาเป็นแบบไหนยังไง มี Reference มาให้หมอดู เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกันมากที่สุด ยิ่งหมอเข้าใจเรามากเท่าไหร่ ผลการผ่าตัดก็จะออกมาใกล้เคียงความต้องการของเรามากเท่านั้น
“คุณต้องสัญญากับหมอนะว่าหลังผ่าตัด คุณต้องช่วยหมอด้วย คุณต้องลดน้ำหนักนะ ผลการผ่าตัดจะได้เห็นชัดเจนมากขึ้น” หมอกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด
และนี่คือสภาพตอนเพิ่งฟื้น
ตอนนี้ออกมาห้องพักฟื้นด้านนอกแล้วเราค่อนข้างเซอร์ไพรส์นะที่ทำแล้วมันไม่เจ็บเหมือนที่คิด คือเราเตรียมใจมาเลยว่าต้องเจ็บ เจ็บมาก เพราะภาพที่เราเห็นคือค่อนข้างน่ากลัว ดูเจ็บปวด เอาจริงแค่ปวด ปวดอยู่แป๊บเดียวเองด้วย เพราะพอยาแก้ปวดออกฤทธิ์ก็ไม่ปวดและ

มาดูวิวัฒนาการหน้าเราหลังทำโครงหน้ากันเถอะ
1 วันหลังผ่าตัด (เริ่มบวม)

4 วันหลังผ่าตัด (บวมสุด)

7 วันหลังผ่าตัด (แกะพลาสเตอร์ที่คอ และตัดไหมที่แผลข้างหู

2 เดือนหลังผ่าตัด (คือที่ข้ามมาที่เดือนนี้เลยเพราะว่าจะได้ไม่ต้องดูภาพไม่สบายตา และดูผลการผ่าตัดที่อาการบวมช้ำหลักๆเริ่มหายไปหมดแล้ว) ตอนนี้ผอมลงด้วยนะ)
ปัจจุบัน (ประมาณ 10 เดือนหลังผ่าตัด) ตอนนี้ผอมลงกว่าก่อนผ่าตัดประมาณ 10 กิโลกรัม ผิวหน้าดีขึ้น ไม่เป็นสิวแล้ว เหลือแค่รอยจางๆ
สิ่งที่เราอยากแนะนำทุกคนเพิ่มเติมก็คือนอกจากทำศัลยกรรมแล้ว ควรดูแลสุขภาพ รูปร่าง และผิวพรรณควบคู่ไปด้วยนะครับ เมื่อเรารักตัวเอง มีความมั่นใจ สิ่งดีๆก็จะตามมาค่ะคุณผู้ชม
สุดท้ายแล้ว เราหวังว่ารีวิวของเรานี้น่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบนะครับ หากเปรียบหน้าคนเหมือนบ้านหลังหนึ่ง โครงหน้าของเราก็เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้าน ส่วนจมูก ปาก ตา คิ้วก็เหมือนกับการตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน และผิวหน้าของเราก็เปรียบได้กับความสะอาดของบ้าน นอกจากนี้เราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนใบหน้าของเราให้เป็นคนอื่นได้ แต่เราก็จะเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดูดีขึ้น เข้าที่เข้าทางมากขึ้นเท่านั้นเอง
หากเบียร์ใช้คำไม่เหมาะสม หรือผิดพลาดประการใด เบียร์ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย ถ้าใครอยากดูรูปเบียร์เพิ่มเติมหรืออยากพูดคุยถามข้อมูลเบียร์เพิ่มเติมก็เข้าไปได้ที่ IG: merfy_beer นะครับผม
ขอบคุณครับ
เบียร์
ขอบคุณที่มา: สมาชิก pantip หมายเลข 1069818
https://pantip.com/topic/36560312
https://pantip.com/topic/36560312
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
VOTED: aRnoNAe, ดูดี มีชาติตระกูล, ฮามอย, น้องขนุน, zerotype, todaysayhi, โยนี หมีระบม, ฮั่วชวี่ปิ้ง
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เน็ตไอดอลจีนหายตัวไป หลังจากหาแฟนที่เขมร
🔥 ชิมให้ถึงแก่น! "ฟูฟู" (Fufu) ก้อนแป้งแอฟริกันสุดนุ่มหนึบ ที่กลายเป็นไวรัลสายคลีนและสาย Exotic!
ลุ้นรับ 4,000 บาท สรุปให้ชัด คนละครึ่งพลัส เฟส 2 ลงทะเบียนวันไหน ใครบ้างมีสิทธิ์
จับหมอปลอม เปิดคลินิกเถื่อนกว่า 10 ปีในกรุงเทพ
"ฮุนเซน" วอนประชาชน "อย่าสุดโต่ง" แบนสินค้าไทย ลั่น "ไม่ว่าไทยหรือต่างชาติเมื่อผลิตสินค้าในกัมพูชาก็ถือว่าเป็นของกัมพูชา
หญิงไทยวัย 18 ใช้มีดฟันหัวแฟนหนุ่ม หลังถูกจับจมูกที่เพิ่งทำศัลยกรรมมา
เลขเด็ดปฏิทิน "หลวงพ่อรวย" งวดวันที่ 1 ธันวาคม 68..เลขเด่นมาแรง รีบส่องเลย!
10 เลขเด็ดเลขดัง "แม่ทำเนียนลอตเตอรี่" งวดวันที่ 1 ธันวาคม 68 มาแล้ว!..คอหวยอย่าพลาด!!
สาธุ 2 เปิดม่านธุรกิจศรัทธา เมื่อการเมืองเข้ามาพัวพัน เดิมพันนี้สูงกว่าเดิม!
คุณสงสัยไหมว่า สัตว์ตัวไหนที่ตรงกับนิสัยของคุณเอง 🤔
คลังจ่อชง ครม. อัดฉีดเงินร้านค้า "คนละครึ่งพลัส" 2,000 บาท พร้อมดัน "อัพสกิล" สู่เศรษฐกิจดิจิทัล
☕️ ไขข้อสงสัย "การต้มน้ำด้วยไมโครเวฟ" ปลอดภัยหรือไม่?Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
จับหมอปลอม เปิดคลินิกเถื่อนกว่า 10 ปีในกรุงเทพ
"ลูกค้าคือเจ้านาย" ฮุนเซนเตือนไทย "อย่าลืมบุญคุณ" หลังเกษตรกรไทยเสียรายได้ 1.6 แสนล้านบาท เพราะถูกเขมรคว่ำบาตร
🔥 ชิมให้ถึงแก่น! "ฟูฟู" (Fufu) ก้อนแป้งแอฟริกันสุดนุ่มหนึบ ที่กลายเป็นไวรัลสายคลีนและสาย Exotic!
สาธุ 2 เปิดม่านธุรกิจศรัทธา เมื่อการเมืองเข้ามาพัวพัน เดิมพันนี้สูงกว่าเดิม!
🚨 ฉีกหน้าข่าวลวงชายแดน ทบ.เปิดโปงความจริงสุดช็อก เบื้องหลัง ฮีโร่ กัมพูชา คือเชลยศึก พิษสุราเรื้อรัง เสียสติ











ด้านล่างนี้คือรูปก่อนและหลังทำนะครับ รูปไหน Before รูปไหน After คงเดากันไม่ยากนะครับบ 555555
ตอนเด็กๆเราคิดว่าการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่เคยคิดจะทำศัลยกรรมเลยด้วยซ้ำ ขนาดเพื่อนแซวว่า “เห้ยเบียร์ เวลานอนตะแคง ตาดำไม่ไหลไปรวมกันหรอวะ” เรายังเห็นเป็นเรื่องขำๆ แถมตอบเพื่อนๆกลับไปว่า “เออ ลำบากกูเลยเนี่ย ตอนเช้าตื่นมาต้องมานั่งแยกตาดำออกจากกัน เสียเวลากูจริงๆ” ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อนๆรอบตัวก็เริ่มทำศัลยกรรมกัน เพื่อนที่ไปทำมาแล้วก็ชวนเราไปทำ แต่เราก็ยังยืนยันหนักแน่นว่า ยังไงก็ไม่ทำ เพราะเราคิดว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นหรือสำคัญกับชีวิตเราอะไรขนาดนั้น อีกอย่างคือ เปลือง!! เสียดายตัง!!
และนี่คือหน้าเราก่อนผ่านการศัลยกรรม (คือเอาจริงๆมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่อะนะ รีป่าวว??) ถ้าสังเกตดูดีๆคือไร้ดั้งอย่างเห็นได้ชัด
“!!! กูอยากทำจมูกหว่ะ” อยู่ดีๆเราก็พูดขึ้นมาระหว่างนั่งดูทีวีกับเพื่อนสนิทคนนึงที่คอนโด ตอนนั้นเราทำงานหาเงินได้เองแล้วนะ (เรียนจบมาแล้วประมาณปีกว่าๆ)
“อะไรดลใจวะ กูบิ้วมาตั้งหลายปีไม่ทำ อยู่ดีๆเกิดอยากทำขึ้นมาซะงั้น”
“กูเพิ่งเลิกกับแฟนหว่ะ อยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้น เผื่ออะไรอะไรมันจะดีขึ้น” เราเชื่อว่าหลายๆคนที่เริ่มทำศัลยกรรม ก็มีสาเหตุมาจากความรักนี่แหละ แต่ที่เราทำ เราไม่ได้ทำเพื่อให้เค้ากลับมาหาเรานะ แต่อย่างน้อยให้นึกเสียดาย(กู)บ้างก็ยังดีวะ 5555 (เชื่อว่าหลายคนที่อกหักก็จะมีความคิดแบบนี้)
ด้วยความรวดเร็วทันใจ วันรุ่งขึ้นเพื่อนเลยขับรถพาเราไปที่คลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งตั้งแต่ยังไม่ 7 โมงเช้า เราก็คิดว่าเช้าขนาดนี้ คงไม่มีคนหรอก พอเปิดประตูคลินิกเข้าไปเท่านั้นแหละ “โอ้โหหหหหหหหหหห.....ห นี่มาจ่ายตลาดกันหรอคะ ทำไมคนเยอะขนาดนี้!!!!! ไม่มีแม้แต่ที่จะแทรกตัวนั่ง” คือคนเยอะมากๆ มีทุกเพศทุกวัยเลย นั่งกันเต็มคลีนิกไปหมด สายๆนี่ลามออกไปนู่นนนน นอกคลีนิกกันเลยทีเดียว
นั่งรอซักพักหมอก็เรียกเข้าไป คุยนั่นคุยนี่ ถามว่าอยากได้จมูกทรงไหน ยังไง เราไม่ได้ตอบอะไรเลยนะ เพื่อนจัดแจงให้หมด พอคุยกับหมอเสร็จ (เพื่อนคุย) ก็เปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าขึ้นห้องผ่าตัดที่อยู่ด้านบนเลย ระหว่างที่นั่งรอหน้าห้องผ่าตัดก็ยังรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร จนกระทั่งผู้หญิงก่อนหน้าเราโดนหามออกมา คราง ฮือ ฮือ ฮือ เท่านั้นแหละ!!! ใจร่วงไปที่ตาตุ่มเลย คือไม่ทำแล้วได้มั้ย กลับบ้านเลยได้รึป่าว แต่ก็ไม่ทันและ พยาบาลเรียกเราเข้าไปในห้องผ่าตัด จับนอนบนเตียง ฉีดยา จากนั้นก็มึนๆไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ได้ยินแต่เสียง กึกๆกักๆ รู้สึกเค็มๆที่คอ และ……
“เสร็จแล้วค่ะ ค่อยๆลุกนะคะ” ได้ยินเสียงแว่วๆไกลๆจากใครซักคน
“เห้ย!!!! เสร็จแล้วหรอ ยังไม่ทันจะรู้สึกอะไรเลย ทำไมมันไวจังวะ” ความคิดแรกที่แว๊บเข้ามา หลังจากทำเสร็จ มันรู้สึกวิ้งๆมึนๆงงๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นพยาบาลก็ให้ลงมารับยาและชำระเงินที่เค้าเตอร์ด้านล่าง เสร็จแล้วก็กลับบ้านได้
และนี่คือรูปหลังจากมีดั้งเป็นของตัวเองแล้ว น้ำหนักก็ขึ้นตามอายุที่มากขึ้น เนื่องจากเป็นคนไม่ดูแลตัวเองเนาะ (อันนี้พวกเธออย่าเอาเป็นแบบอย่าง)
โดยการทำศัลยกรรมจมูกครั้งแรกของเรานั้น หมอทำการผ่าตัดแบบปิด และใช้ซิลิโคนตัวแอล ตอนนั้นความรู้เรื่องศัลยกรรมก็แทบจะไม่มี ไม่ได้สนใจจะถามหมอด้วยซ้ำว่าผ่าตัดแบบไหน ใช้ซิลิโคนแบบไหน (ที่รู้เพราะตอนมาแก้จมูกคุณหมอที่แก้ให้บอก) ขนาดรูปทรงจมูกยังให้เพื่อนเลือกให้เลย คิดดู๊!! จำได้แค่ว่าให้กินยาตามหมอสั่ง นอนหงายวางหัวให้สูงเป็นเวลา 1 เดือน ตอนนั้นจำได้แค่นี้จริงๆ
หลังการผ่าตัดก็พอใจนะ รู้สึกว่าในที่สุดก็มีสันจมูกเป็นของตัวเองซักที ไม่ต้องตื่นเช้ามาโกยตาดำกันอีกต่อไป ตอนนั้นก็มั่นใจขึ้นในระดับนึง ก็คิดว่าโอเคพอและ ไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว จบและสำหรับการทำศัลยกรรม จนกระทั่งวันนึงเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนเมาและต่อยจมูกเราตรงสันดั้งพอดีเลย ตอนนั้นจำได้เลยว่าเจ็บมาก เจ็บเหมือนมันสั่นไปทั้งกะโหลก จมูกก็เบี้ยวเลยทันทีอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่ส่องกระจกมันจะมีรู้สึกเซ็งๆ นอยๆ เพราะจมูกที่อยู่ตรงกลางหน้าเรามันผิดรูป มันไม่เป็นปกติ ต่อมาก็เริ่มมีความกังวลเพราะสันจมูกมันเบี้ยวมาด้านขวามากเกินไป เรากลัวว่าจะไปกระทบกับตาด้านขวาในอนาคต (หรือเรียกง่ายๆว่าอาการนอย-) และนี่ก็คือที่มาของการทำศัลยกรรมในครั้งต่อมา
ตอนแรกคิดว่าจะแก้จมูกที่ไทยนั่นแหละ แต่เราก็ดันจับพลัดจับผลูได้บินมาเกาหลีกับเพื่อนเรา ตอนนั้นเพื่อนเราบินมาทำศัลยกรรมที่เกาหลี เราเองก็กะว่าจะมาเฝ้าเพื่อนและมาเที่ยวด้วย แต่ไหนๆก็มาถึงถิ่นศัลยกรรมและ เลยถามคุณหมอซักหน่อยว่าอย่างเราเนี่ยต้องทำอะไรบ้าง หมอบอกว่าหลักๆเลยก็จมูกเนี่ยแหละ
รูปตอนมาเกาหลีกับเพื่อนครั้งแรก
จากนั้นก็เริ่มศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ พร้อมกับความคิดที่วนอยู่ในหัวว่า “ทำ…ไม่ทำ...ทำ...ไม่ทำ” “ไทย…เกาหลี…ไทย…เกาหลี” และ “เงิน…เงิน…เงิน…เงิน” และในที่สุดก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า เราก็ตัดสินใจบินมาแก้จมูกที่เกาหลี หลายๆคนสงสัยว่าทำไมถึงมาแก้ที่เกาหลี? ทำไมไม่ทำที่ไทย? คือเราก็มีเหตุผลของเรานะ เราก็คิดหน้าคิดหลังมาในระดับนึงแล้ว เรารู้ว่าหมอที่ไทยเก่งๆก็มีเยอะแยะ แต่คือใจเรารู้สึกว่าเกาหลีมันคือถิ่นของศัลยกรรมไงเธอ เราก็อยากจะมาโดนมีดที่นี่ซักครั้งไง อีกอย่างเราได้พูดคุยปรึกษากับคุณหมอเกาหลีไปครั้งก่อนก็รู้สึกมั่นใจ เราเลยคิดว่าเอาวะ มาก็มา
ตัดภาพมาที่วันผ่าตัดแก้ไขจมูกของเรา วันนั้นตรงกับวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2016 พูดเลยว่าไม่ตื่นเต้นเลย เพราะเคยทำจมูกมาแล้ว ไม่เจ็บ!!! ครั้งนี้ก็มั่นใจว่าจะไม่เจ็บ การผ่าตัดครั้งนี้คุณหมอจะวางยาสลบ (ต้องอดน้ำและอาหารก่อนเข้าห้องผ่าตัด 8 ชั่วโมง) โดยการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเองร่วมกับกระดูกอ่อนหลังหูและซิลิโคนตัวไอ โดยคุณหมอจะทำการผ่าตัดแบบเปิด ทุบดั้ง แก้ปลายจมูกสั้น แก้จมูกเบี้ยว ทำผนังกั้นจมูกให้ยาวขึ้น และตัดปีกจมูก
และนี่คือรูปของเราก่อนแก้จมูก
หิวน้ำ...ความรู้สึกแรกเลยหลังจากลืมตา คือหิวน้ำมากกกกกกก แต่กินไม่ได้ ต้องรอไปอีก 3 ชั่วโมงถึงจะดื่มน้ำได้ ระหว่างนี้ก็นั่งเป่าปากรอไป เป่าปากคือเป่าปากจริงๆนะ คือหายใจเข้าปอดลึกๆและหายใจออกยาวๆ เพื่อขับก๊าซยาสลบในตัวเราให้ออกไปมากที่สุดและเร็วที่สุด นอกจากนี้เรายังเจ็บบริเวณที่ให้น้ำเกลือ เจ็บมากจนต้องให้พยาบาลช่วยเอาสายน้ำเกลือออกให้ หลังจากความเจ็บปวดบริเวณที่ให้น้ำเกลือหายไป มันก็ย้ายมาเจ็บตรงซี่โครงแทน คือมันเจ็บแบบแปล๊บๆจี๊ดๆ เคยซิตอัพและปวดมั้ย มันจะรู้สึกคล้ายๆอย่างนั้น แต่ให้คูณ 5 เข้าไปเลย
และนี่สภาพหลังการผ่าตัด (เราใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดรวม 5 ชั่วโมง)
คืนแรก...คืนวัดใจ...คืนที่ทรมาณที่สุด
เนื่องจากยาแก้ปวดหมดฤทธิ์ (ตรงนี้ฝากถึงคนที่จะทำศัลยกรรมด้วยว่า ต้องอดทนนะ ไม่ใช่ว่าปวดนิดๆหน่อยๆก็เรียกหายาแก้ปวด มันจะทำให้หน้าบวมเด้อ เอาไว้ให้ปวดแบบสุดๆ และค่อยเรียกหานะจ๊ะ) และที่พีคที่สุดคือหายใจไม่ออก!!!!! อย่างเคสเราหมอใช้แผ่นซิลิโคนบางๆอุดไว้ในจมูกทำให้หายใจทางจมูกไม่ได้อยู่ 7 วัน ช่วง 2 วันแรกคือแบบ นอนคิดเลยว่า “นี่กูทำบ้าไรอยู่เนี่ย อยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ” พอต้องมาหายใจทางปาก ปากก็ลอกอีกเบินอีก คอแห้งอีก ยังๆๆๆยังไม่พอ ตอนทำจมูกหมอโกนขนจมูกทำให้ไอและจามง่ายกว่าปกติ และนี่ผ่าตัดใช้กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเองอีก เลยแบบแทบจะบนบานศาลกล่าวเลยว่า อย่าจามเลยลูก ไม่ไหวแล้ว เจ็บซี่โครง
แต่นั่นก็คือความรู้สึกของ 2 วันแรกเท่านั้น พอเข้าสู่วันที่ 3 ร่างกายก็มีการปรับตัว เราสามารถหายใจทางปากได้คล่องขึ้น ไม่รู้สึกอึดอัดและ แผลที่ซี่โครงก็ไม่ค่อยเจ็บเพราะว่าเรารู้จังหวะและไงว่า จะลุกจะนั่งยังไง มุมไหนที่ไม่เจ็บ อาการเจ็บจี๊ดๆแปล๊บๆบริเวณซี่โครงอยู่กับเราประมาน 1 เดือนนหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรละ ส่วนแผลหลังหูเนี่ยหายช้าสุด ประมาน 2 เดือนกว่าจะหายเจ็บ ความจริงเราแทบจะไม่รู้สึกเลยนะถ้าไม่ไปนอนทับหรือกระแทกโดน
มาดูวิวัฒนาการหน้าเราหลังทำจมูกนะ
1 วันหลังผ่าตัด ( รูปตามด้านล่าง )
3 วันหลังผ่าตัด ( รูปตามด้านล่าง ) เป็นวันที่บวมที่สุด
7 วันหลังผ่าตัด ( รูปตามด้านล่าง )
3 สัปดาห์หลังผ่าตัด ( รูปตามด้านล่าง )
และความคันของคนก็ไม่มีที่สิ้นสุดเนาะ ได้คืบจะเอาศอก ได้จมูกจะเอาหน้า คือหลังทำจมูกก็รู้สึกว่าดูดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่เรารู้สึกว่าทำไมหน้าใหญ่จัง ยิ่งเวลาใส่หมวกนะ หน้าบานใหญ่ล้นหมวกมาก ยิ่งมองดูตัวเองดีดียิ่งเห็นเลยว่ากรามใหญ่ โหนกแก้มก็บานออกด้านข้าง แถมโหนกแก้มซ้ายขวาก็สูงต่ำไม่เท่ากัน อ้วนอีก เหนียงมาอีก คราวนี้หน้าก็เลยดูคล้ายพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ นั่นคือกลมและผิวไม่เรียบ