ดูเตอร์เต้บอก“ลาก่อน...อเมริกา”ฟิลิปปินส์แก้เผ็ดสหรัฐเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วยการขับกองทัพสหรัฐพ้นประเทศ
ประธานาธิบดีร้อดริโก้ ดูเตอร์เต้ ให้สัมภาษณ์ที่สนามดาเวา อินเตอร์เนชั่นนอล เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2016 หลังจากเดินทางไปเยี่ยมประเทศไทยและมาเลเซียอย่างเป็นทางการ (Photo/Manila Bulletin)
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2016 ประธานาธิบดีร้อดริโก้ ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์แถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่เมืองดาเวา ในเกาะมินดาเนา กรณี Millennium Challenge Corporation ของสหรัฐประกาศตัดความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่ฟิลิปปินส์เป็นเงิน 433.9 ล้านดอลลาร์ในรอบ 5 ปี สาเหตุเพราะนโยบายปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมของฟิลิปปินส์ที่สหรัฐ,กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป(European Union)และองค์การสหประชาชาติ(United Nations special rapporteur) สงสัยในตัวนายดูเตอร์เต้ว่ากระทำอันขัดหลักนิติธรรมและเสรีภาพของพลเมืองหรือพูดง่ายๆละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการทำวิสามัญฆาตกรรม(ยิงทิ้ง)บุคคลผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดไม่ได้นำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
นายดูเตอร์เต้กล่าวว่าเขาพอเข้าใจได้กับการที่ถูกองค์กร Millennium Challenge Corporation ของสหรัฐเข้าครอบงำและประกาศจะตัดความช่วยเหลือ (ฟิลิปปินส์) “เอ้า...ดีแล้ว...ผมยินดีต้อนรับ ....แต่เราก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเงินช่วยจากสหรัฐอเมริกา... แต่อเมริกา เราก็มีข้อสังเกตให้คุณรับรู้ว่า จงเตรียมตัวไปให้พ้นฟิลิปปินส์ เตรียมตัวที่จะต้องรับการยกเลิกข้อตกลง Visiting Forces Agreement” ทั้งนี้นายดูเตอร์เต้หมายถึงข้อตกลงของ 2 ประเทศในปี 1998 ที่รัฐบาลสหรัฐสามารถส่งกองกำลังต่างๆมาร่วมฝึกกับกองทัพฟิลิปปินส์ได้ หนักไปกว่านั้นนายดูเตอร์เต้กล่าวว่า หากสหรัฐทำได้ ฟิลิปปินส์เองก็ทำได้ไม่ใช่เป็นการจราจรแบบทางเดียว พร้อมกับพูดว่า“ลาก่อน...อเมริกา” (Bye-bye America)
กล่าวสำหรับ Millennium Challenge Corporation เป็นการจัดตั้งของรัฐบาลสหรัฐเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตและลดความยากจนลงทั่วโลก ประเทศที่จะได้รับความช่วยเหลือจะต้องมีหลักการดังนี้ “เป็นรัฐบาลที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องความยุติธรรมและปกครองด้วยประชาธิปไตย,การลงทุนกับประชาชนของประเทศและมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ” การให้เงินสนับสนุนเพื่อช่วยหลือสหรัฐจะมอบให้คราวละ 5 ปีรวมเป็นเงิน 433.9 ล้านดอลลาร์ ล่าสุด MCC ประกาศให้การสนับสนุนแก่ประเทศ Burkina Faso, Sri Lanka และ Tunisia ส่วนฟิลิปปินส์ถูกถอนความช่วยเหลือหลังจากสิ้นสุดลงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2016
สหรัฐมองฟิลิปปินส์อยู่ตลอดมาว่าเป็น“เด็กในคาถา”เพราะสหรัฐยึดครองฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นระหว่างปี 1898-1946 ขณะที่พลเมืองฟิลิปปินส์ก็ให้การสนับสนุนสหรัฐตลอดมา จนเป็นที่รู้กันว่าฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในโลกที่สนับสนุนสหรัฐอย่างสุดจิตสุดใจ จนกระทั่งเมื่อนายดูเตอร์เต้ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเขาประกาศอย่างชัดเจนที่จะไม่เอาสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเพราะจะต้องหันไปคบกับมหาอำนาจทั้งจีนและรัสเซีย ต้องการความเสมอภาคในฐานะที่เป็นประเทศเอกราชและมีบูรณภาพแห่งดินแดนของตัวเอง การกระทำของนายดูเตอร์เต้จึงมองได้ว่าเขาเป็นคนรักชาติเป็นคนชาตินิยม ไม่ต้องการที่จะอยู่ใต้อิทธิพลของสหรัฐอีกต่อไป หากสหรัฐไม่ยึดหลักความเสมอภาค มองในแง่การเมืองระหว่างประเทศนายดูเตอร์เต้เข้ามาสร้างความสมดุลย์กับมหาอำนาจทั้ง 3 ประเทศ
เมื่อสหรัฐนำเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามาอ้างรวมทั้งตัดความช่วยเหลือฟิลิปปินส์ ก็ไม่ใช่สหรัฐจะทำได้เพียงฝ่ายเดียว ฟิลิปปินส์ก็ประกาศแก้ลำด้วยการขับไล่ทหารสหรัฐให้พ้นไปจากประเทศ ความเสียหายย่อมตกกับสหรัฐมากกว่าฟิลิปปินส์ เพราะสหรัฐต้องการกลับเข้ามาลดอิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชียจึงใช้นโยบายกลับมาปักหลักในเอเชีย(Pivot to Asia) คราวนี้สหรัฐจะใช้ประเทศใดเป็นหลังอิงให้กับงานการทหารของตน แม้กระทั่งการปล่อย Drone ลงในทะเลจีนใต้เพื่อหาข้อมูลก็ถูกทางการจีนยึดไว้ เกิดความเสียหน้าและเสียฟอร์มเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นอย่าไปสนใจเรื่อง“สิทธิมนุษยชน”ที่สหรัฐพร้อมกลุ่มลูกหาบกล่าวหาโดยใช้บรรทัดฐานของตัวเองเป็นตัวตั้ง เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับที่สหรัฐอยากสร้างประชาธิปไตยขึ้นในประเทศตะวันออกกลาง แล้วประเทศเหล่านี้เป็นอย่างไร นับตั้งแต่อัฟกานิสถาน,อิรัก,ลิเบีย,ซีเรีย ขณะนี้กำลังคลานเข้าไปยังประเทศตุรกี ประเทศที่กล่าวมาแหลกราญหมด ทำไมประเทศจีนและรัสเซียไม่ได้มีระบบการเมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจแบบสหรัฐ แต่ทั้งจีนและรัสเซียก็เป็นประเทศมหาอำนาจได้ สหรัฐควรปล่อยให้ประเทศอื่นคิดและหาระบบการปกครองที่ดีที่สุดของเขาเองบ้าง ไม่ใช่เข้าไปจุ้นจ้านเป็นเจ้ากี้เจ้าการ โลกนี้ก็จะลดความขัดแย้งลงได้ทันที